วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

10 วิธีง่ายๆ ในการเผาผลาญพลังงาน

การที่แต่ละวันคุณมีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ บ้างเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานส่วนเกินที่สะสมจากอาหารที่กินเข้าไปได้ แม้คุณจะไม่ได้ออกกำลังกายหนักหน่วงจริงจังอย่างการเล่นกีฬาแต่อย่างน้อยก็ได้ออกแรง ขยับกล้ามเนื้อแขนขา ช่วยควบคุมน้ำหนัก แถมยังลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและกระดูกพรุนอีกต่างหาก

เราได้สรรหากิจกรรมง่ายๆ ที่บางทีคุณอาจมองข้ามไป มาแนะนำให้คุณลองมาดูกันว่ากิจกรรมใดใช้พลังงานสักเท่าใดกัน และแบบไหนที่คุณน่าจะทำได้บ้าง

ลุกขึ้นมาเดินคุยโทรศัพท์แทนที่จะนั่งเฉยๆ
สำหรับคนที่ทำงานนั่งโต๊ะ ระหว่างโทรศัพท์เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ลุกจากที่นั่งที่คุณจุมปุ๊กมาทั้งวัน แม้จะไม่ได้ใช้พลังงานมากนักแต่อย่างน้อยก็ทำให้คุณได้ขยับแข้งขา เพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย การเลือกโทรศัพท์ประเภทไร้สายมาใช้จะช่วยได้มาก

เดินไปส่งเอกสารข้ามออฟฟิศด้วยตัวเอง
มีบางครั้งที่คุณต้องการจะยื่นเอกสารไปแผนกข้างๆ หรือต้องเดินข้ามชั้นหากที่ทำงานมีขนาดใหญ่ แทนที่จะใช้คนอื่นทำแทน คุณอาจลองหาช่วงเวลาเหมาะๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปส่งเอกสารเหล่านั้นด้วยตัวเอง นอกจากจะได้ออกแรงเดิน หรือขึ้นลงบันไดแล้ว ยังได้ของแถมเป็นโอกาสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก

หาเวลาว่างไปเดินช้อปปิ้ง
การไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัดเป็นทางออกของหลายๆ คนในการใช้เวลาว่างวันหยุด ไม่เพียงเพลินตาสบายใจเท่านั้น แต่เป็นโอกาสที่คุณจะได้ออกกำลังกายแบบไม่รู้ตัว ลองคิดดูว่าถ้าไปเดินห้างตลอดบ่ายวันเสาร์ นั้นเท่ากับคุณเดินไม่หยุดถึง 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียว จะให้ดีน่าจะสวมเสื้อผ้าที่สบายๆ ใส่ถุงเท้ารองเท้ากีฬาด้วยเสียเลย จะช่วยให้การเดินของคุณสนุกยิ่งขึ้น

ทาสีบ้าน
เชื่อไหมว่าการทาสีบ้านจะผลาญพลังงานคุณได้อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 300 แคลอรีต่อชั่วโมง แถมยังช่วยให้คุณได้ออกกำลังแขน และลำตัวได้อีกต่างหาก

ทำความสะอาดบ้านให้เอี่ยมอ่อง
วันหยุดสุดสัปดาห์ หากคุณได้ลงมือทำความสะอาดบ้านให้หมดจด ทั้งกวาด ทั้งถู ดูดฝุ่น เช็ดหน้าต่าง นอกจากจะทำให้บ้านสะอาดน่าอยู่แล้ว ยังได้ออกกำลังผลาญพลังงานถึง 420 แคลอรีต่อชั่วโมงโดยประมาณด้วย

ทำสวนตัดหญ้า
สำหรับคนที่บ้านมีบริเวณ การใช้เวลาขลุกอยู่ในสนามหญ้าหน้าบ้าน ทำสวน พรวนดิน ปลูกต้นไม้ จะได้ใช้พลังงานถึง 360 แคลอรีต่อชั่วโมง พอๆ กับการเล่นแบดมินตัน หากสนามกว้างหน่อยเดินไถรถตัดหญ้าบ้างก็ดี ก็จะช่วยผลาญพลังงานได้ถึง 420 แคลอรีต่อชั่วโมง หนักพอๆ กับเล่นเทนนิสเลยทีเดียว

เดินหาที่กินไกลๆ ออฟฟิศ
ใช้เวลาพักกลางวันให้เป็นประโยชน์กับสุขภาพและการออกกำลังกาย ด้วยการเดินไปหาของกินอร่อยๆ ไกลออฟฟิศขึ้นอีกนิด แทนที่จะพึ่งพาแต่โรงอาหารประจำอาคารเหมือนทุกวัน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้คุณได้โอกาสเดินมากขึ้น ใช้พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป ลดการสะสมไขมันไม่มากก็น้อย

ถือตะกร้าจ่ายตลาดในซูเปอร์มาร์เก็ตแทนใช้รถเข็น
หากคุณต้องการซื้อสิ่งของเพียงไม่กี่ชิ้นที่คิดว่าพอถือไหว ก็ควรใช้ตะกร้าแทนรถเข็น เพื่อให้แขนได้ออกแรงยกของระหว่างเดิน อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเผาผลาญพลังงานเสมือนกับการเล่นเวท และอย่าลืมสลับข้างเพื่อให้แขนและไหล่ทั้ง 2 ข้างได้ออกแรงเท่าเทียมกัน

เดินขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟท์
การขึ้นบันไดแต่ละครั้งคุณจะใช้พลังงานประมาณ 10 แคลอรีต่อชั้น เป็นโอกาสง่ายๆ ที่จะใช้เผาผลาญพลังงาน แล้วยังได้ออกกำลังขาอีกต่างหาก

โดยสารรถประจำทาง/รถไฟฟ้าแทนการขับรถ
เมื่อคุณต้องไปพบเพื่อน หรือลูกค้านอกออฟฟิศ หากเส้นทางที่จะไปอยู่ในเส้นทางเดินรถไฟฟ้า หรือมีรถประจำทางวิ่งผ่าน คุณลองจอดรถของคุณไว้แล้วใช้บริการขนส่งมวลชนดูบ้าง ไม่เพียงประหยัดค่าน้ำมัน ยังเป็นโอกาสที่จะได้เดินมากขึ้น ขึ้นลงบันได ใช้พลังงาน แถมยังได้สัมผัสชีวิตริมทางที่คุณไม่ค่อยได้เห็นได้อีกด้วย

10 วิธีที่กล่าวมานี้คงเป็นเพียงตัวอย่างกิจกรรมที่คุณเลือกทำได้ง่ายๆ นอกเหนือจากการออกกำลังกาย เพราะชีวิตประจำวันของคุณมีอะไรต้องทำมากมายไม่ซ้ำกัน ลองสรรหาสิ่งแปลกใหม่ให้ตัวเองทำ โดยตั้งใจจริงว่าจะต้องใช้พลังงานให้เป็นประโยชน์ แล้วคุณจะพบว่าตัวเองได้สุขภาพแข็งแรงเป็นผลตอบแทนกลับคืนมาที่คุ้มค่าจริงๆ

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

เบาหวานกับสุขภาพในช่องปาก

ปัจจุบันนี้มีผู้ที่เป็นโรคเบาหวานสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ หากดูแลรักษาสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ คนที่เป็นเบาหวานนั้นจะต้องตระหนักว่าผลข้างเคียงอาจมีผลหรือสร้างปัญหาต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ที่สำคัญเบาหวานทำให้ร่างกายมีความสามารถในการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อน้อยลง คือ ติดเชื้อง่ายขึ้นและแผลหายช้า ดังนั้นผมจึงพบคำถามเกี่ยวกับช่องปากจากคนที่เป็นเบาหวานอยู่บ่อยๆ เช่น

• เป็นโรคเบาหวานถอนฟันได้หรือไม่?
• ทำไมคนเป็นเบาหวานเป็นโรคเลือดออกได้ง่าย?
• ทำไมเป็นเบาหวานแล้วเกิดแผลในช่องปากบ่อยๆ?

ดังนั้นเราควรมาเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ของโรคเบาหวานกับสุขภาพในช่องปาก เพื่อควบคุมปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็จะช่วยให้มีความสุขในการใช้ฟันเคี้ยวอาหารและลดเรื่องยุ่งยากลงได้อย่างมากทีเดียวครับ

ปัญหาสุขภาพในช่องปากที่มักสัมพันธ์ไปกับโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง

• ฟันผุ
• โรคเหงือกอักเสบ
• ปัญหาต่อมน้ำลายทำงานผิดปกติ
• การติดเชื้อราในช่องปาก
• การติดเชื้อและเป็นแผลแล้วหายช้า
• การรับรู้รสเสียไป

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรได้รับการตรวจเช็คสุขภาพเป็นประจำ และควรมีข้อมูลเหล่านี้ให้ทันตแพทย์ทราบทุกครั้งที่ไปทำฟันเพื่อที่ทันตแพทย์จะได้เตรียมการรักษาให้เหมาะกับคุณ

• ถ้าคุณพบว่าเป็นเบาหวานอย่าปิดบังเพื่อจะได้ทำฟัน หลายท่านเข้าใจว่าถ้าบอกหมอว่าเป็นเบาหวานหมอจะไม่ทำฟันให้
• คุณได้รับการรักษาเบาหวานและอยู่ในความดูแลของแพทย์อยู่
• มียาอะไรบ้างที่ใช้อยู่

อาหารและฟันผุ

หากคนที่เป็นเบาหวานปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมน้ำตาลให้ดี ปริมาณน้ำตาลที่สูงขึ้นในเลือด ในน้ำลาย ช่วยให้แบคทีเรียในช่องปากเจริญเติบโตได้เร็วขึ้นนั้น หมายถึงโอกาสที่เกิดโรคฟันผุและเหงือกอักเสบก็ง่ายขึ้นด้วย

คนที่เป็นเบาหวานจึงต้องหมั่นรักษาความสะอาดในช่องปากให้มากๆ นั้นคือ แปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ ทำความสะอาดตามซอกฟัน เพื่อลดคราบอาหารที่เป็นส่วนช่วยเสริมทำให้เกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบ

คราบอาหารหรือขี้ฟัน ถ้าไม่ถูกขจัดออกปล่อยทิ้งสะสมไว้ มันจะรวมตัวกันเป็นหินปูน ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกและติดเชื้อในช่องปากได้ง่ายขึ้น ก็เพราะว่า เบาหวานลดการป้องกันการติดเชื้อของร่างกายลง เหงือกและกระดูกรองรับรากฟันก็จะถูกกระทบเช่นกัน คนที่เป็นเบาหวานจึงเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่ายและสูญเสียฟันไปอย่างรวดเร็ว ถ้าดูแลไม่ถูกต้อง

เราพบว่าคนเป็นเบาหวานที่ไม่สนใจควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ง่ายและรุนแรงถึงขนาดสูญเสียฟันไปได้ง่ายกว่าคนที่เป็นเบาหวานแต่ได้รับการควบคุมอย่างดี

ถ้าหากคุณพบว่ามีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปพบทันตแพทย์ทันที

• เหงือกมีเลือดออกบ่อยๆ และง่าย
• เหงือกอักเสบแดง และเจ็บ
• มีหนองอยู่ตามซอกเหงือก
• มีกลิ่นปาก
• ฟันโยก
• ฟันปลอมที่ใส่อยู่หลวม

การติดเชื้อรา

ปกติแล้วในช่องปากก็มีแบคทีเรียและเชื้อราอยู่ แต่ร่างกายปกติสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แต่ในสภาพที่มีเบาหวานนั้นการเปลี่ยนแปลงและการป้องกันนี้ลดลง เชื้อราในช่องปากจึงมักปรากฎบ่อยๆ ในคนเป็นเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สูบบุหรี่ คนที่ใส่ฟันปลอมแบบถอดได้

เมื่อคุณเป็นเบาหวานมีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากปกติที่ต้องให้ความสนใจ คือ การดูแลรักษาสุขภาพในช่องปากให้สะอาดอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดฟันผุและเหงือกอักเสบ นั่นคือ

• คุณเองต้องขยันแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟันหลังอาหารทุกมื้อ
• ใกล้ชิดหมอฟันมากหน่อย ตรวจฟันทุกๆ 3 เดือน ทำความสะอาดขูดหินปูนอย่าให้คราบหินปูนเกาะตามขอบเหงือกและฟัน
• ควบคุมอาหารหวานและแป้งที่ง่ายต่อการเกิดโรคเหงือกและฟันผุ
• หัดเป็นคนช่างสังเกตุว่ามีอะไรสิ่งผิดปกติในช่องปาก เลือดออกง่าย ฟันโยก เสียวฟัน ก็รีบพบทันตแพทย์ทันที

เมื่อจำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์ เพื่อรักษาฟัน คุณควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่าให้สูงมาก บางครั้งแพทย์ต้องให้ยาปฏิชีวนะก่อนทำทันตกรรมเพื่อลดการเสี่ยงการติดเชื้อ จะเห็นได้ว่าคนที่เป็นเบาหวานนั้น ถ้าหากเข้าใจลักษณะที่มากับโรคนี้และมีผลกระทบกับช่องปากอย่างไรแล้วสามารถควบคุมได้ ก็จะช่วยลดผลแทรกซ้อน และคุณก็จะมีสุขภาพในช่องปากที่ดีสามารถใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีความสุขครับ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยอดอาหารช่วยบำรุงสติปัญญา จุดประกายให้กับสมอง

การศึกษาจากต่างประเทศ พบว่าการรับประทาน ผลบลูเบอรี่ ไข่ มัสตาร์ดปลาแซลมอน และผักเคล จะช่วยบำรุงเพราะไปกระตุ่นเซลล์ประสาทชะลอโรคสมองเสื่อม...

รายงานการศึกษาระหว่างประเทศ ได้พบว่าอาหาร 5 ชนิดมีคุณประโยชน์ ช่วยจุดประกายความคิดให้กับสมองของเราได้ 5 ชนิด

ผลบลูเบอรี่ ส่วนผสมในผลไม้ชนิดนี้ มีสรรพคุณป้องกันขบวนการ ที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม และยังชะลอสมองไม่ให้แก่ชราลงเร็วด้วย
ไข่ อาหารเช้าชนิดนี้ อุดมด้วยเซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุช่วยบำรุงสมอง ให้คงหนุ่มสาวอยู่เสมอได้นานแรมปี

มัสตาร์ด สิ่งที่ทำให้มันมีคุณสมบัติอันน่าทึ่ง อยู่ที่หัวขมิ้นชัน ซึ่งได้บริโภควันละ 17 มิลลิกรัม หรือเท่ากับกินมัสตาร์ดวันละ 1 ช้อนชา จะไปช่วยปลุกยีนซึ่งควบคุมการกำจัดขยะของเซลล์ในสมอง ให้แข็งขันขึ้น

ปลาแซลมอน ปลาเนื้อสีชมพูนี้อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 ชนิดที่เชื่อว่ามีสรรพคุณต่อต้านความแก่ชราของสมองมากที่สุด

ผักเคล อันเป็นกะหล่ำปลีชนิดหนึ่ง ถ้าหากได้กินผักใบดกนี้อย่างน้อยวันละ 3 มื้อ สารคาโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในผัก จะช่วยชะลอสมองเสื่อมเพราะความแก่ชราให้ช้าลง

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทยหยุดเลือดกำเดาไหล

อาการเลือดกำเดาไหลเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ที่บุเยื่อจมูกฉีกขาด ทำให้มีเลือดไหลออกทางจมูกข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ส่วนมากมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน พบบ่อยในเด็ก

เลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมากมักไม่ใช่สาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง แต่อาจเกิดจากความผิดปกติและโรคต่างๆ ได้ ดังนี้

1. การบาดเจ็บของเยื่อบุจมูก ได้แก่ การแคะจมูก ผู้ที่มีนิสัยชอบแคะจมูกจะมีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะออกจะเกิดแผลถลอก การสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างเร็ว เช่น ระหว่างขึ้นเครื่องบินหรือการดำน้ำ อาจมีผลให้เกิดเลือดออกในโพรงอากาศข้างจมูกและมีเลือดกำเดาไหล นอกจากนี้ยังเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและใบหน้า อาจโดนที่จมูกโดยตรงหรือโพรงไซนัส ทำให้มีเลือดออกได้

2. การอักเสบในช่องจมูก ได้แก่ ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคแพ้อากาศ อาการคือจะมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้ามีการสั่งน้ำมูก อาจทำให้เลือดกำเดาไหล ส่วนภาวะอากาศหนาว ความชื้นต่ำ ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง เกิดการอักเสบ และเลือดออกได้ง่าย

3. การผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก มีลักษณะโค้งงอหรือเป็นสันแหลม ทำให้มีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะจะมีเลือดออกได้

4. เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก ทั้งชนิดร้ายและไม่ร้าย ก็อาจทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน

5. โรคทางระบบอื่นๆ ได้แก่ โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือด หรือความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดแตกได้

อย่างไรก็ตาม อาการส่วนใหญ่ที่พบมักไม่ค่อยมีอันตรายร้ายแรง และสามารถรักษาได้เองด้วยวิธีพื้นบ้านง่ายๆ ที่ช่วยหยุดเลือดกำเดาให้คุณได้ในเวลาไม่กี่นาที

บีบจมูกหยุดเลือดไหล

เมื่อมีเลือดกำเดาออก อย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนะคะ นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณสันจมูกที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว เมษามีวิธีหยุดเลือดกำเดาง่ายๆ ก็คือ การกดบีบจมูก เริ่มต้นจาก

1. นั่งหลังตรง โน้มศีรษะมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลลงคอ
2. ต่อมาให้คุณสั่งน้ำมูกเบาๆ เพื่อไล่ลิ่มเลือดที่อาจไปขัดขวางการสมานรอยแตกของหลอดเลือด
3. จากนั้นใช้นิ้วบีบจมูกเข้าหากันเบาๆ แล้วกดเข้าหาหน้า นิ่งอยู่ในท่านี้อย่างน้อย 10 นาที (ระหว่างนี้ให้หายใจทางปาก)
4. ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหล ให้กดต่อไปอีก 10 นาที วิธีนี้มักได้ผลดี

สมุนไพรเยียวยาเลือดกำเดาไหล

นอกจากนี้เรายังมียาสมุนไพรไทยรักษาเลือดกำเดาไหลจาก คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย หมอสมุนไพรประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี มาแนะนำกันค่ะ

• ใบพลู ใช้ใบพลู 1 ใบ ม้วนให้กลมเหมือนมวนบุหรี่ ขนาดให้พอดีรูจมูก ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้พอช้ำ นำปลายที่ช้ำสอดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี

• น้ำมะนาว ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำร้อน 1 แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาวครึ่งช้อนโต๊ะ ชงดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

• รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนทั้งรากทั้งโคน ยาวประมาณ 1 คืบ (ตั้งแต่รากขึ้นไป) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

• รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

• รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนัก 1 บาท หรือประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1-2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้
.
• รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

นอกจากนี้ หมอน้อยได้ให้ตำรับยาไทยสูตรโบราณ ซึ่งมีสรรพคุณสมานบาดแผล ห้ามเลือด และฆ่าเชื้อได้ดีมาฝากกันค่ะ

ใช้ขมิ้นอ้อย 7 แว่น ขมิ้นชัน 7 แว่น เกลือตัวผู้ 3 เม็ด กระเทียม 3 กลีบ ตำทุกอย่างให้เข้ากันดี หลังจากนั้นนำยาทั้งหมดเคี่ยวกับน้ำมันพืชครึ่งลิตร เคี่ยวจนกระเทียมไหม้ดี แล้วจึงยกขึ้นและกรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำมัน หลังจากนั้นใส่เหล้า 3 หยด ใส่ภาชนะขวดแก้วเก็บไว้

เมื่อมีเลือดออกในจมูก ให้นอนหงายและใช้คัตตอนบัด (สำลีปั่นหู) จุ่มน้ำมันทาภายในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก คลึงจมูกเบาๆ ทำวันละ 1 ครั้ง หรือเวลาที่มีเลือดกำเดาไหล

เพียงเท่านี้อาการเลือดกำเดาไหลที่หลายคนเคยตื่นตระหนกก็หยุดไหลด้วยดี แต่ถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลหรือเลือดยังไหลลงคอไม่หยุด ขอแนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านโดยด่วนค่ะ

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น

ถ้าใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้นซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?

คำว่า แป้ง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ (chlorite) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่?

อันตรายต่อสุขภาพปอด

เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้นไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ

อันตรายต่อสุขภาพรังไข่

เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อบุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่


แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่?

แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น...

• เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่าค่ะ

• การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

• ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์

• เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า

• ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ

• ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

• สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ

• ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

• ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สาว 6 อาชีพกับเส้นเลือดขอด

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นเส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง

และหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิงที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็นคุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทางและสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียดทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้

คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น เรือจ้าง เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่องและรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย

นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้นมีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน

แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทนและโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า

พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืนหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!

พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก

สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี

ทั้งนี้หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอดก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วมก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัดที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคน

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด

• ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา

• หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง

• หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียวอาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหากเป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือดกระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า

การรักษาแบบผ่าตัด

เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัดและใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอดแล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์

การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ช้าลงสักนิด ชีวิตมีพลัง

กลางสัปดาห์ก็ยังกล่าวต่อกันด้วยเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต ‘Slow Life’ ปรับลดความเร็วของการคิด พูด ทำ ให้อยู่สุขสงบบนทางสายกลางอย่างพอเพียง

‘สามัญประจำบ้าน’ วันนี้ มีเคล็ดไม่ลับในการปฏิบัติตัวให้ช้าลง แล้วประโยชน์นั้นจะเกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกาย โดยเริ่มจากการกิน ที่ใคร ๆ มักจะตักอาหารใส่ปาก รีบกิน รีบเคี้ยว รีบกลืน ซึ่งไม่เป็นผลดีเพราะอาหารจะถูกย่อยยากและช้าขึ้น จนบางคนอาจรู้สึกไม่สบายท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ส่วนผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนัก การกินเร็วจะไม่ทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้นได้

แล้ววิธีการกินให้ร่างกายได้สุขภาพจะต้องทำอย่างไร? เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับ ‘สมอง’ เพราะสมองจะส่งความรู้สึกอิ่มหลังการกินอาหารเข้าไปแล้วราว 20 นาที เนื่องจากร่างกายส่งสัญญาณไปว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดขยับตัวสูงขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นการรีบกินอย่างเร็วในช่วง 20 นาทีแรก อาจทำให้คุณอิ่มเกินจริง หรือจุกเสียดได้ แต่ที่ควรทำคือเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งต่อคำแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้กินได้น้อยลงและย่อยง่าย

เสริมเติมนอกจากการกินให้ช้า เคี้ยวอย่างละเอียด...ชาวโอกินาวา ในญี่ปุ่น นิยมใช้เทคนิคการกินอาหารให้อิ่มเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ เขาถือว่าเป็นระดับความอิ่มแบบพอดี ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการดื่มน้ำตาม ผลลัพธ์จึงทำให้ชาวบ้านในบ้านเมืองนั้นไม่ค่อยอ้วนลงพุง และสุขภาพดี

อีกเรื่องคือ 'การหายใจ' ที่ขอเวลาเพียงอย่างน้อยวันละ 15 นาที ตั้งสติให้ความสำคัญกับการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการเติมพลังให้กับปอด แถมยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย

นอกเหนือจากข้อควรคำนึงทั้งสองอย่างข้างต้นนั้น ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ทุกคนรู้ แต่ไม่ค่อยใส่ใจทำ อย่างเช่น การพักผ่อนให้เพียงพอในช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำแล้วช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว

ขอบคุณทิปจาก นสพ.เดลินิวส์