วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

‘ไข้ออกผื่นในเด็ก’ อีกโรคที่ต้องระวังหน้าฝน!

พบบ่อยในกลุ่มอายุ 1-6 ปี
ช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวนี้ คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเล็ก ต่างกังวลถึงสุขภาพลูกกันไม่ใช่น้อย เพราะเป็นช่วงที่ทำให้ลูกเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล รวมไปถึงโรคหัด หรือไข้ออกผื่น เป็นอีกโรคหนึ่งในหน้าฝนพรำ ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้เท่าทันและระวังเอาไว้ เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเกิดลูกมีอาการแทรกซ้อน อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้

กับไข้ชนิดนี้ “พญ.ขวัญเมือง ณ ตะกั่วทุ่ง” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทั่วไปในเด็ก โรงพยาบาลบีเอ็นเอ ให้ความรู้ว่า เด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ตามอากาศ โดยเฉพาะกลุ่ม Herpes เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัด หัดกุหลาบ หัดเยอรมัน โรคอีสุกอีใส และโรคมือเท้าปาก

โดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่ภูมิต้านทานยังไม่มากพอเท่าผู้ใหญ่ โอกาสที่จะได้รับเชื้อโรค จึงเกิดได้สูง ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านทางน้ำลาย และลมหายใจ เช่น ของเล่น ของใช้ที่ลูกหยิบจับ หรือสัมผัสเข้าปากได้ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ อาการภูมิแพ้ เช่น แพ้ยา แพ้ฝุ่นละออง ซึ่งอาจทำให้ผิวของลูกมีอาการแพ้ จนเกิดผื่นขึ้นได้เช่นกัน

สำหรับโรคนี้จะพบได้ตลอดปี และพบบ่อยในกลุ่มอายุ 1-6 ปี ถ้าไม่มีภูมิต้านทานจะเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดนจะมีอาการเริ่มคือ มีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะและกลัวแสง อาการต่างๆ จะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้นและจะสูงเต็มที่ เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ 4 ของไข้ ลักษณะผื่นที่ขึ้นจะนูนแดง ติดกันเป็นปื้นๆ

โดยผื่นดังกล่าว จะขึ้นที่หน้า บริเวณชิดขอบผม จากนั้นจะแผ่กระจายไปตามลำตัว เช่น แขน และขา ประมาณ 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ส่วนผื่นมีสีแดงจะเข้มขึ้น เป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง คงอยู่นาน 5-6 วัน กว่าจะจางหายไปหมด กินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุยด้วย ทั้งนี้ควรให้เด็กหยุดเรียน หรือแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กอื่น เป็นเวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์

“ไข้ออกผื่น ทำให้ลูกกินอาหารได้น้อยลง งอแง มีไข้ และเมื่อไข้ลดลง จะมีผื่นปรากฏให้เห็น และอาจมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย ระยะต่อมาจะมีผื่นเป็นจุดเล็กๆ สีชมพูออกแดงเหมือนเม็ดทรายกระจายอยู่ทั่วตัว (คนโบราณจึงเรียกว่าหัดกุหลาบ) นอกจากนี้หากใช้มือคลำที่ใบหู มักพบว่า มีต่อมน้ำเหลืองโต หลังใบหู” คุณหมอเผยถึงอาการของโรคไข้ออกผื่น

ด้านวิธีการป้องกัน คุณหมอบอกว่า กลุ่มอาการไข้ออกผื่นบางชนิด เช่น โรคหัด หัดเยอรมัน จะมีวัคซีนป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ สามารถพาลูกน้อยไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันได้ แต่บางชนิดไม่มีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้น จึงควรดูแล และป้องกันอย่างเหมาะสม ด้วยวิธีต่อไปนี้

- เมื่อลูกมีไข้ ควรเช็ดตัว

- อาจให้กินยาลดไข้ระหว่างที่มีไข้

- ให้ลูกดื่มน้ำมากๆ หรืออาหารอ่อน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

- หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

- ให้ลูกกินอาหารครบ 5 หมู่ ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก และผลไม้ เพื่อสุขภาพและสร้างภูมิต้านทานให้ลูก

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในเด็กเล็กๆ คุณหมอบอกว่า การดูแลเรื่องไข้ของลูก ต้องอย่าให้ลูกขาดน้ำ เพราะถ้าลูกขาดน้ำ พลังงาน อาการจะหายช้า และเมื่อเพลียมากอาจเกิดอาการชักได้

อย่างไรก็ดี กลุ่มเด็กที่ต้องระวังต่อการเสี่ยงเป็นไข้ออกผื่นมากที่สุด คือ กลุ่มเด็กที่อยู่ในสภาพยากจน อยู่ในชุมชนแออัด มีภาวะทุพโภชนาการ (การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน หรือปริมาณไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งมีทั้งภาวะโภชนาการเกิน และโภชนาการต่ำ) อาจจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ง่าย เช่น หูส่วนกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือถ่ายเหลวเป็นน้ำ ซึ่งจะทำให้เด็กขาดอาหารรุนแรงขึ้น นอกจากนี้อาจพบสมองอักเสบ โดยพบได้ประมาณ 1 ใน 1 พันราย หากไม่เสียชีวิต อาจทำให้พิการได้

ทั้งนี้ โรคไข้ออกผื่น ไม่มียารักษาเฉพาะทาง วิธีที่ดีที่สุด คือ ให้วัคซีนป้องกัน ที่ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ให้วัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้งฟรี ซึ่งครั้งแรก เมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน โดยให้ในรูปแบบของวัคซีนหัดชนิดเดี่ยว ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียน ป.1 จะให้ในรูปแบบวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ถนอม ‘มือ’ ด้วยสับปะรด

เคล็ดลับมือนุ่มง่าย ๆ

วันนี้ ขอแนะนำเคล็ดลับวิธีดูแลรักษามือแบบง่ายๆ ด้วยสับปะรดมาฝาก...

เริ่มจาก นำสับปะรดมาหั่นประมาณ 4-5 ชิ้น ใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำผึ้งลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้ละเอียดจนกลายเป็นเนื้อครีมเหลว

กรณีไม่มีเครื่องปั่น ให้ใช้ช้อนหรือส้อมยี ผสมน้ำผึ้งคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน

จากนั้นล้างมือให้สะอาด นำครีมสับปะรดมาลูบไล้มือทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าขนหนูซับจนแห้ง ตบท้ายด้วยโลชั่นที่คุณใช้เป็นประจำ

เพียงวิธีง่ายๆ คุณก็ได้มือที่เนียนนุ่มแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เสริมสร้างสุขภาพดีด้วยหลัก 4 อ.

“สุขภาพดี” ไม่มีซื้อ ไม่มีขาย แต่อยู่ที่ตัวเรา ต้องสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตัวเราเอง เราส่องกระจกแต่งหน้าแต่งตัวกันทุกวัน อยากให้ตัวเองดูสวย เท่ หน้าตาดี บุคลิกดี แถมอยากให้คนรอบข้างชื่นชมว่า “ดูดีนะ...สดใส ...อ่อนกว่าวัย” ฟังทีไร ก็ชุ่มชื่นหัวใจทุกที เสมือนเป็นยาชูกำลังขนานดี แต่คำชมทั้งหลายนั้น น่าจะมีพื้นฐานมาจากสุขภาพ ที่ดีนั่นเอง เมื่ออยากมีสุขภาพดีทำไมหลายท่านไม่สร้างสุขภาพของตนเองล่ะ เริ่มต้นได้ไม่ยากเลย

พลเรือตรี นพ.เด่นเดชา ประทุมเพ็ชร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เผยเคล็ดลับการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ฟังว่า ควรยึดหลัก 4 อ.ดังนี้

มิติด้านอารมณ์/จิตใจ การเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เชื่อว่า คนที่สนุกสนาน และการที่หัวเราะในระดับหนึ่งที่เหมาะสมจะทำให้สมองหลั่งสารสุข ซึ่งมีผลทำให้คนมีความสุข ไม่เครียด และสุขภาพดี ทั้งการฝึกฝนปรับตนให้ยอมรับความจริงได้การยึดหลักสายกลางที่เหมาะสม การปลงตก การให้อภัย การฝึกสมาธิ จิตใจที่เข้มแข็งไม่ตามใจปาก ฯลฯ

มิติด้านอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญ ควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะ ถูกหลักโภชนาการ เกิดประโยชน์ และประหยัด เช่นพวกข้าว ก็ควรเลือกข้าวกล้อง พวกข้าวเหนียว ขนมจีนควรหลีกเลี่ยง พวกผักควรเลือกผักสดใบเขียว หลีกเลี่ยงผักกระป๋อง พวกผลไม้ก็เลือกผลไม้สดๆ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง หลีกเลี่ยงผลไม้สุกหวาน เช่น มะม่วงสุก หรือหวานจัด เช่น ลำไย องุ่น พวกทุเรียนควรงดไปเลย

สำหรับพวกเนื้อสัตว์ปกติไม่ควรรับประทานมาก ถ้าจะรับประทานก็ควรเลือกเนื้อปลา ไข่ขาว ควรเลี่ยงเนื้อมันๆ เครื่องในสัตว์ต่างๆ พวกนมควรเลือกนมจืดปราศจากไขมัน หลีกเลี่ยงนมสด นมข้นหวาน พวกเครื่องดื่มดีที่สุดคือน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงกาแฟ โดยเฉพาะที่ใส่นม ส่วนน้ำอัดลมควรงด และควรเลือกอาหารที่ต้ม ลวก นึ่ง หลีกเลี่ยงการเผา ปิ้ง ย่าง ทอด พวกแกงต่างๆ ควรเลี่ยงแกงใส่กะทิ อาหารภูมิปัญญาไทยที่ใส่สมุนไพร พวกขิง ข่า ตะไคร้ ใบโหระพา กระชาย ใบมะกรูด ล้วนมีประโยชน์ เช่น ต้มยำ หรือแกงส้ม น้ำพริกผักต่างๆ

มิติการออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยสร้างสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งนอกจากจะได้ผลดีต่อกล้ามเนื้อแล้ว ยังได้ผลดีต่อ หัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย การออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างพอเหมาะก็จะทำให้สมองหลั่งสารสุข ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า โดยออกกำลังกายวันละ 30-60 นาที ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์หรือเสริมด้วยการมีกิจกรรมของร่างกายในชีวิตประจำวัน เช่นการเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ในที่ทำงานก็จะช่วยได้ดีขึ้น

มิติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มิตินี้มีความสำคัญ ด้วยการทำให้ทุกๆสิ่งรอบตัวเราเอื้ออำนวย และเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น

- สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ มีการอนุรักษ์ธรรมชาติให้มีความสมดุล เช่น มีต้นไม้ จะให้ความร่มรื่น ผ่อนคลาย แล้วต้นไม้ใหญ่ๆ จะช่วยกำจัดพิษคือดูดคาร์บอนไดออกไซด์แล้วยังคลายอากาศบริสุทธิ์เป็นออกซิเจนอีกด้วย

- มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น มีน้ำสะอาดบริโภคอย่างพอเพียง มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการจราจรที่ดีปลอดภัย มีระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี

- ชุมชนน่าอยู่ ผู้คนมีความร่วมมือสามัคคี เคารพในกฎเกณฑ์ มีวินัย ทั้งชุมชนยังปลอดอบายมุข โดยเฉพาะยาเสพติด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา

- มีองค์ความรู้ในชุมชน สนับสนุนผลักดันให้ผู้คนมีอนามัยส่วนบุคคลที่ดี รู้จักการป้องกันโรค มีระบบการเฝ้าระวังโรคการสุขาภิบาลที่ดี

- มีการสนับสนุนงบประมาณ องค์กรและบุคลากรในการดำเนินการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอย่างเพียงพอ


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

10 วิธีดูแลเล็บ - มือ – เท้า

อาหาร-ความสะอาด ช่วยได้

ถ้าพูดถึงแฟชั่นแล้ว ทุกส่วนในร่างกายของเราก็มีสิทธิที่จะอัพเดทแฟชั่นได้เท่า ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นผม ที่ต้องคอยตามเทรนด์สี ทรง หรือจะเป็นร่างกาย ที่มักถวิลหาเสื้อผ้าที่ทันสมัย แบบ สีที่ไม่เอาท์ เท้า ก็ยังต้องการรองเท้าแบบที่ใส่สบาย แต่ไม่ตกเทรนด์ หรือแม้กระทั่งเล็บ ก็ยังต้องการการแต่งแต้มสีสัน เพื่อความสวยงาม

และวันนี้เราก็มี 10 วิธีการดูแลมือ เท้า หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน และเล็บ ที่ไม่ค่อยได้หายใจเมื่อคุณแต่งแต้มสีสันลงไป

1. เราต้องทำความสะอาดมือ เท้า และเล็บ เสียก่อน โดยการใช้แปรงขนนุ่ม กับสบู่อ่อน ๆ ถูเบา ๆ บริเวณมือ เท้า และเล็บ อย่าลืมที่จะถูใต้เล็บด้วยละ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคเข้าไปสะสมอยู่มากที่สุด หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

2. ควรตัดเล็บมือเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง ส่วนเล็บเท้า 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง ไม่ควรตัดเล็บจนชิดบริเวณผิวหนังส่วนปลายนิ้วเกินไปเพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นแผลแล้วยังทำให้พื้นที่หน้าเล็บสั้นลงได้ และถ้าตัดชิดขอบลึกลงไปเรื่อยๆ จะดูเหมือนเล็บของคนที่ชอบกัดเล็บซึ่งไม่สวยงาม สำหรับเล็บเท้าควรตัดในแนวตรงเป็นทรงเหลี่ยม ไม่ควรตัดเล็บลงซอกข้างเล็บมากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดเล็บขบได้

3. รับประทานที่มีประโยชน์ตามหลักโภชนาการ เพราะเล็บก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโตเหมือนกัน ส่วนสารอาหารที่เล็บต้องการ เช่น โปรตีน วิตามินเอ ซี และอี รวมถึงแร่ธาตุสังกะสีที่มีอยู่ในอาหารทะเลและเมล็ดธัญพืช

4. นอกจากสารอาหารแล้ว การทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยป้องกันผิวมือไม่ให้หยาบกระด้าง โดยเฉพาะหลังจากที่มือต้องสัมผัสกับสารเคมีต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน อีกวิธีหนึ่งที่เป็นการป้องกันก็คือ ในช่วงที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีต่าง ๆ ก็ให้สวมถุงมือทุกครั้ง

5. นวดนิ้วมือและเท้าด้วยครีมบำรุงหรือน้ำมันบำรุงผิว ประมาณ 3-5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณมือและเท้า ควรนวดบริเวณปลายนิ้วและเล็บด้วยเพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมสร้างเล็บที่อยู่บริเวณโคนเล็บ ถ้าไม่สะดวกระหว่างวันสามารถทำได้ในช่วงก่อนเข้านอนแล้วสวมถุงมือผ้าและถุงเท้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ใต้ผิวของน้ำมันหรือครีมบำรุง หรือจะใช้สครับสำหรับนวดเท้า เพื่อการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบัน สครับสำหรับมือและเท้าก็หาซื้อได้ง่าย และสามารถทำได้เองที่บ้าน เสียเวลาไม่นาน แต่รับรองว่าสบายผิวแน่นอน

6. เนื่องจากธรรมชาติสร้างเล็บให้ออกมาในรูปแบบของแผ่นโปรตีนชนิดแข็ง และให้ทำหน้าที่ปกป้องปลายประสาทที่มีอยู่มากบริเวณปลายสุดของร่างกายไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยในการหยิบจับ และแกะเกา ส่วนหน้าที่งัดแงะของแข็ง หรือว่าใช้เป็นไขควงในการหมุนนั่นหมุนนี่ ผิดวัตถุประสงค์นะคะ อาจจะทำให้เล็บฉีกได้

7. สำหรับสาว ๆ ที่ชอบทาเล็บเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าไม่ยอมให้เล็บได้หายใจเลยแล้วละก็ ฟังทางนี้ ควรทาน้ำยารองพื้นเล็บก่อนทาสี เพื่อป้องกันการเกิดสีที่ไม่พึงประสงค์หลังจากการทาเล็บได้ระยะหนึ่ง และควรทาน้ำยาเคลือบเงาเล็บเพื่อความวาวและติดทนนาน แต่ไม่ควรทาเล็บสีเข้มติดต่อกันนานๆ ควรสลับสีอ่อนบ้าง และควรหยุดพักการทาเล็บเมื่อเห็นว่าสภาพเล็บดูแห้งหรือเกิดสีผิดปกติ

8. ในการเลือกซื้อน้ำยาทาเล็บ ควรคำนึงถึงการเลือกสีให้เหมาะสม ทั้งกับสีผิว โอกาสที่ใช้ สีเสื้อผ้า เครื่องสำอางและบุคลิกของตัวเอง

9. ควรศึกษาอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ เช่น วันหมดอายุ หรือสังเกตสภาพของผลิตภัณฑ์ว่ายังมีคุณภาพดีหรือไม่ โดยทั่วไปอายุของเครื่องสำอางเล็บอยู่ที่ประมาณ 3 ปี หรือดูจากลักษณะการแยกตัวของสีหากหมดอายุแล้วไม่ควรใช้เด็ดขาด

10. ในส่วนของเท้าก็ต้องการการดูแลเช่นกัน การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับรูปร่างเท้าของเราก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาเท้าให้มีสุขภาพดี ซึ่งในการเลือกซื้อรองเท้านั้น เราควรเลือกรองเท้าที่สวมใส่พอดี ไม่คับ หรือหลวมจนเกินไป เพราะการเสียดสีในขณะที่เดินนานๆ จะทำให้ผิวเท้าเกิดหนังที่แข็งด้าน และการใส่รองเท้าที่คับเกินไปบริเวณปลายเท้าอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเล็บขบ เวลาที่เหมาะสมในการเลือกซื้อรองเท้าคือช่วงกลางวันที่เท้าได้เดินจนขยายตัวแล้ว และหลังจากที่ใส่รองเท้าส้นสูงมาตลอดทั้งวัน หลังเลิกงาน ลองแช่เท้าในน้ำอุ่นสัก 10-15 นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อล้าที่เท้าได้ค่ะ

และนี่ก็คือ 10 วิธีการดูแลมือ เท้า และเล็บของคุณ ให้ดูมีสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลา…

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อดี-ข้อเสียของท่านอน

นอนตะแคง ทางเลือกสุขภาพดี
ทราบหรือไม่ว่า ท่านอนแต่ละท่ามีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก...

นอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน แต่การนอนหงายในท่าราบสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังนั้น จะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขาหรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัวและบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอนตะแคง ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน

นอนคว่ำ ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำอาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก

อยากสุขภาพดี ‘ท่านอนตะแคง’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีรักษาผิวไหม้จากแสงแดด

ถุงชา ข้าวโอ๊ต ช่วยได้

ใครที่ต้องตากแดดเป็นเวลานานๆ แล้วเกิดผิวไหม้เกรียม วันนี้มีวิธีรักษามาบอก...

วิธีแรก ใช้ถุงน้ำชาที่ชงดื่มแล้ว ไปแช่ในน้ำเย็นแล้วนำมาวางแปะตามบริเวณที่มีรอยไหม้แดด สามารถใช้ได้กับบริเวณใบหน้า

วิธีที่สอง ใช้น้ำแข็งห่อในผ้าเช็ดหน้าแล้ววางบนรอยไหม้สัก 10 นาที ทำทุก 2-3 ชั่วโมง

วิธีที่สาม เปิดน้ำในอ่างน้ำ ผสมข้าวโอ๊ตลงไปนอนแช่สัก 10 นาที ทำซ้ำเช่นนี้อีกทุกๆ 3 ชั่วโมง

วิธีสุดท้าย ผสมน้ำแข็งก้อนลงในนมพร่องไขมันใช้ผ้าขนหนู จุ่มน้ำนมมาประคบตามผิวที่ไหม้แดดและแสบร้อน ทำต่อเนื่องนาน 2 นาที และทำซ้ำอีกทุก 2 ชั่วโมง

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยรักษารอยแผลไหม้จากแสงแดดได้แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

อายุมากดื่มเหล้า ตัวการก่อมะเร็งช่องปาก

แนะบริโภคผัก-ผลไม้ช่วยลดเสี่ยงโรค

สำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญเตือนการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มเสี่ยงมีโอกาสเป็น "มะเร็งช่องปาก" เพิ่มขึ้นในชายและหญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ล่าสุดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบคนกลุ่มนี้เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ปาก ลิ้น และลำคอ เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา พบว่า คนในวัย 40 ปี ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเท่าตัว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ปากและลำคอ ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ มะเร็งชนิดนี้คร่าชีวิตประชาชนในอังกฤษปีละ 1,800 ราย และพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ราย

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งในช่องปากและลำคอ คือ การรับประทานผักและผลไม้น้อยลง และโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่ผ่านทางปาก แต่แพทย์ตรวจพบว่า ร้อยละ 75 ของมะเร็งในช่องปาก มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด แต่สำหรับคนในวัย 40 ปี ดูเหมือนว่าจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้อัตราการเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ทั้งนี้ มะเร็งช่องปากรักษาหายได้หากตรวจพบเนิ่นๆ ปัญหาใหญ่คือคนจำนวนมากยังไม่ตระหนักว่า แอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับมะเร็งชนิดนี้ เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่าดื่มเหล้ามากๆ จะเป็นโรคเกี่ยวกับตับ จึงถึงเวลาที่ควรต้องเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีมากกว่าการเป็นมะเร็งตับ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื่อรา ไขมัน งดปิ้งย่างเผาไหม้จนเกรียม

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม แบบไหนเรียกว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ต้องติดตาม

สาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างด้วยกัน นอกเหนือจาก 'พันธุกรรม' ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด

"มะเร็งบางชนิดมีการทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส มะเร็งปอดสาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ แต่ยังมีมะเร็งอีกหลายชนิดที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งเหล่านั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เชื่อว่าการที่เรารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อราอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งตับ แต่คนเป็นมะเร็งตับเกิดจากอาหารอย่างเดียวหรือเปล่า...ก็ไม่ใช่" นุชธิดา สมัยสงฆ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับมะเร็งเป็นสาเหตุของกันและกันได้อย่างไร

ปัจจุบัน นักกำหนดอาหาร มีส่วนสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเป็นหนึ่งใน Patient Care Team ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ ดูแลด้านโภชนาการของผู้ป่วย ทำหน้าที่ประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนโภชนบำบัดและให้คำแนะนำถึงรูปแบบการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและสอดคล้องตามสภาวะร่างกาย สภาวะของโรค แผนการรักษา และพฤติกรรมผู้ป่วยแต่ละราย ดูแลความถูกต้องของอาหารที่ผู้ป่วยได้รับขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้ตรงตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ พร้อมประเมินและติดตามผลการโภชนบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้คำแนะนำเวลาผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านให้สามารถเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปได้

การรับประทานอาหารที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนก่อนการรักษา ระหว่างการรักษา และหลังการรักษา จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและดีขึ้น

วิธีการทำงานของ 'นักกำหนดอาหาร' คือ ประเมินน้ำหนัก-ส่วนสูงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่นี่เรามีเครื่องมือวัดไขมันใต้ผิวหนัง วัดปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ซักประวัติการรับประทาน คนไข้มีประวัติน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ การรับประทานอาหารมีภาวะคลื่นไส้อาเจียนหรือไม่ ใช้หลายข้อมูลประกอบกัน บางครั้งคนไข้มีการเจาะเลือดก็จะใช้ผลเลือดมาประกอบด้วย

นุชธิดา สมัยสงฆ์ กล่าวและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลภาวะโภชนาการกับผู้ป่วยมะเร็งว่า "คนไข้มะเร็ง ก่อนผ่าตัดเราต้องดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม เพื่อที่หลังผ่าตัดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลจะได้สั้นลง แผลหายได้เร็วขึ้น ต้องดูว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลหกเดือนคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวหรือเปล่า ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลักษณะการรับประทานได้เหมือนเดิม หรือรับประทานเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ อาหารกลุ่มไหนที่รับประทานเป็นหลัก เช่น ในส่วนของข้าวรับประทานข้าวขาวหรือข้าวกล้อง ปริมาณมากน้อยแค่ไหนในแต่ละมื้อ เนื้อสัตว์ที่รับประทานเป็นเนื้อสัตว์แบบไหน ประเมินอาหารในแต่ละส่วน ก่อนผ่าตัดมีการเจาะเลือด ก็จะดูผลเลือดว่ามีส่วนไหนที่บกพร่อง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเส้นเลือดแค่ไหน ถ้าการผ่าตัดกรณีที่รอได้ เราก็จะปรับภาวะโภชนาการให้อยู่ในระดับที่ดีก่อน"

ในฐานะนักกำหนดอาหาร นุชธิดาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ดังนี้

รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม แหล่งอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคือ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ (ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) ผัก-ผลไม้ควรรับประทานทุกวัน ถ้าเป็นผักสุกมื้อหนึ่งประมาณหนึ่งทัพพี ถ้าเป็นผักสดประมาณหนึ่งถ้วยข้าวต้มอย่างน้อย ถ้ารับประทานได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น สำหรับผลไม้ปริมาณที่เหมาะสมคือกินให้ได้ 2-3 ครั้ง/วัน ถ้าเป็นผลไม้ลูกกลมๆ เช่น แอปเปิล ให้กินหนึ่งผลต่อหนึ่งมื้อ ถ้าเป็นผลไม้ลูกโตๆ เช่น สับปะรด แตงโม มื้อหนึ่งควรกินให้ได้ประมาณ 8 คำ

หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีการเติมสารถนอมอาหารต่างๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน นอกจากดูวันผลิตและวันหมดอายุซึ่งเป็นหลักสำคัญ รองลงไปคือสังเกตด้วยตาเปล่า ถ้ามีเชื้อราเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรรับประทานแล้ว อาหารที่เลยกำหนดวันหมดอายุไปเพียงเล็กน้อยก็อาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเกิดขึ้นได้เช่นกัน
หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหวานจัด

หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ให้ไขมันมากเกินไป อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับไขมันในปริมาณมากเกินไป คือเกิน 30-35% ของพลังงานที่เราได้รับทั้งหมด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันที่มาจากสัตว์ อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง

หลีกเลี่ยงอาหารประเภทปิ้ง-ย่างหรือเผาไหม้จนเกรียม โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ปีกเมื่อเจอกับความร้อนจะเกิดสารออกซิเดชั่น เป็นสารแห่งความเสื่อม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคในกระบวนการความเสื่อมต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าอาหารปิ้ง-ย่างเป็นอันตรายจนกระทั่งกินไม่ได้ ยังสามารถกินได้ใน ปริมาณพอเหมาะ ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ (หรือที่เรียกว่ากินซ้ำซาก) เพราะเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด

นุชธิดา สมัยสงฆ์ ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ผัก-ผลไม้ เป็นสิ่งที่คนไทยกินทุกวัน คนสมัยก่อนถ้าไม่กินผักกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เราไม่กินผัก-ผลไม้ บางคนไม่เคยคิดว่าวันนี้กินผัก-ผลไม้ไปหรือยัง คือกินไปตามความอยาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ามีส่วนประกอบอะไรในอาหารบ้าง เช่น ถ้าเรากินข้าวมันไก่ มีแตงกวาสองสามชิ้น ก็ไม่ใช่ปริมาณที่เพียงพอ ตอนเย็นก็ไปกินพิซซ่า แต่ไม่ตักสลัด ก็ไม่ได้ผักอีก ตอนเช้าดื่มนมแค่กล่องเดียว ก็ไม่มีผัก ถามว่ากินผลไม้หลังอาหารหรือเปล่า...ก็ไม่ เลือกกินเป็นขนม บางคนก็ดื่มน้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้รับน้อยลง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งอันเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน

นอกจากเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าจะกินอาหารอย่างไรเพื่อช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็ง ซึ่งมีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้

เลือกกินอาหารที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้ทุกครั้ง (อาหารที่มีกากใยสูง)

ควรรับประทานผักให้มีความหลากสี (ไม่ควรรับประทานชนิดเดียวซ้ำๆ) เช่น ผักสีขาว ได้แก่ หอมใหญ่ ผักกาดขาว ดอกแค กะหล่ำปลี, ผักสีเขียว ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง, ผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท, ผักสีเหลือง ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง, ผักสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง
หากต้องการโปรตีน ลองหันมากินโปรตีนจากพืช เช่น เห็ด ถั่วเหลือง สลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์

เลือกรับประทาน 'อาหารว่าง' ที่ประกอบจากผักหรือผลไม้ แทนขนมหวาน เช่น ผลไม้สด ผลไม้ลอยแก้ว น้ำส้มคั้นสด น้ำบีทรูท น้ำฟักทอง น้ำแครอท

ใครๆ ก็รู้ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง แต่คนเรามักชะล่าใจ ปล่อยตัวตามใจปากตามใจอยาก อย่างไรก็ตาม 'มะเร็ง' นอกจากต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ยังมีเรื่องของ 'สิ่งแวดล้อม' และ 'ความเครียด' เข้ามาเป็นปัจจัยอีกด้วย

เมนูอาหารต้านมะเร็ง :

1.สไปซี่นัทส์ (Spicy Nuts)

ส่วนผสม: ถั่วบราซิล 140 กรัม ถั่วเฮเซล 115 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 140 กรัม มะม่วงหิมพานต์ 140 กรัม ถั่วพีแคน 110 กรัม น้ำพริกแกงแดง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ สาหร่ายโนริอบแห้ง 1 แผ่น เกลือปรุงรส (เล็กน้อย)

วิธีทำ: ผสมถั่วทั้งหมดลงในโถคลุกอาหาร ตามด้วยน้ำพริกแกงแดง น้ำผึ้ง เกลือ คลุกเคล้าจนเข้ากันดี เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนถั่วเป็นสีเหลืองสวย ทิ้งให้เย็น ม้วนสาหร่ายให้แน่น หั่นตรงกลางความยาว ซ้อนสาหร่ายแล้วหั่นเป็นเส้นๆ (หรือใช้กรรไกรตัดก็ได้) ผสมกับถั่วใส่ไว้ในขวดโหลกันอากาศ เก็บไว้รับประทานเป็นของว่า

คุณค่าอาหาร: ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ ซีลีเนียมและวิตามินอี เส้นใยอาหารสูงในถั่วยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย

2.แซลมอนดิ๊ปอโวคาโด (Salmon dip Avocado)

ส่วนผสม: กระเทียม 1 กลีบ อโวคาโด 1 ผล แซลมอนนึ่งสุก 100 กรัม เต้าหู 125 กรัม มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสดสับ 1/2 ช้อนชา พาร์สลีสดสับ 1 ช้อนชา มะเขือเทศ 1 ลูก ขนมปังโฮลวีต

วิธีทำ: ทุบกระเทียมแล้วบดให้ละเอียด ปอกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องบด ตามด้วยเนื้อปลา เต้าหู มะเขือเทศบด พริกขี้หนู ปั่นให้ละเอียด ตักใส่จาน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับพาร์สลี่ไว้สำหรับตกแต่ง รับประทานกับขนมปังปิ้ง

คุณค่าอาหาร: สารไลโคพีนซึ่งพบมากในมะเขือเทศ เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สารไฟโตเอสโตรเจนจากเต้าหู้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

3.แกงกะหรี่ผัก

ส่วนผสม: กะหล่ำดอก 1/4 หัว บร็อกโคลี 1 หัว บรัซเซลสเปราท์ 8 หัว แอสพารากัส (หรือจะใช้ถั่วแขกก็ได้) 2 ก้าน ฟักทอง 200 กรัม หอมหัวใหญ่ 2 หัว กระเทียม 4 กลีบ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผงแกงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศกระป๋องหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 800 กรัม น้ำซุปผัก 2 ถ้วย มะเขือเทศบดในกระป๋อง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: ตัดดอกกะหล่ำและบร็อกโคลีเป็นช่อเล็กๆ หั่นครึ่งบรัซเซลสเปราท์ ตัดยอดแอสพารากัสหั่นผ่ากลาง (ถ้าใช้ถั่วแขก เล็มปลายถั่วและหั่นครึ่งตามขวาง) หั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นหอมหัวใหญ่เป็นแว่น ทุบกระเทียม ตั้งน้ำมันในกระทะเพื่อผัดผักทั้งหมด เริ่มจากผัดหัวหอมใหญ่และกระเทียมประมาณห้านาที ใส่ผงกะหรี่ ผัดต่อไปหนึ่งนาทีจนเริ่มหอม ใส่มะเขือเทศ น้ำซุปผัก มะเขือเทศบดและเกลือ ต้มต่อจนเดือด ใส่ฟักทอง ต้มต่อห้านาที ตามด้วยบร็อกโคลี บรัซเซลสเปราท์ แอสพารากัส ต้มต่ออีก 10-15 นาที หรือจนผักนุ่มขึ้น เสิร์ฟร้อนๆ แต่งหน้าด้วยผักชี

คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนเป็นสารมีสีพบในผักสีเข้ม มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม สารไลโคพีนเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, สารอินโดล (พบในบร็อกโคลี) อาจช่วยป้องกันมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก, ไดอัลลิลซัลไฟด์ (มีในหอมหัวใหญ่) ช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่ต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

เคล็ดลับ: การนำผักสดมาปรุงอาหารควรใช้วิธีนึ่ง ผักจะคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่าวิธีการลวก

เครื่องดื่ม Citrus Drink

ส่วนผสม: น้ำส้มเกรฟฟรุตคั้น 1/2 ถ้วย มะละกอหั่นชิ้น 1 ถ้วย น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีทำ: ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วพร้อมดื่ม

คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

วัยรุ่นต้องหยุดคิด ชีวิตที่ก้าวพลาด

เตือนสติเยาวชนไทยห่างไกลแอลกอฮอล์

วัยรุ่นหรือใครที่คิดจะดื่มเหล้าคงต้องหยุดคิด เมื่อมีข้อมูลทางการแพทย์รายงานชัดว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดอารมณ์ที่เป็นสุขและครื้นเครง เพราะมีฤทธิ์กดประสาทพร้อมกับกระตุ้นให้สมองมีการหลั่งสารแห่งความสุข อาทิ โดปามีน เอ็นโดรฟีน ฯลฯ

แต่การดื่มอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนั้นทำให้สมองเปลี่ยนแปลง และพร่องสารแห่งความสุข เกิดภาวะซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน และเกิดโรคสมองติดยาได้ ในทางวิชาการแอลกอฮอล์ทำให้สมองที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความอยากเปลี่ยนไป อาการที่สำคัญ คือ อยากเหล้าได้ง่าย แต่กลับดื้อต่อสิ่งที่ให้ความสุขใจตามธรรมชาติ ทำให้เป็นคนที่มีความสุขได้ยาก มีแต่แอลกอฮอล์เท่านั้นที่พอจะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขได้

แน่นอนว่ายิ่งผู้ดื่มอายุน้อยเท่าไหร่ โอกาสที่จะเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนติดสุราก็จะมีมาก และเมื่อดื่มอย่างต่อเนื่องยาวนาน สมองจะปรับตัวตื่นตัวมากขึ้น ส่งผลให้นักดื่มต้องดื่มปริมาณที่มาก เพื่อให้ได้สมองหลั่งสารที่เป็นสุขเท่าเดิม เกิดอาการที่เรียกว่า "ดื้อแอลกอฮอล์" ลองมาดูผลกระทบทางด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณแอลกอฮอล์มากจนเกินไป ตั้งแต่ชัก สมองสับสน อาการทางจิตแทรกซ้อน เป็นต้น

นักดื่มรุ่นเยาว์ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยเรียน ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ควรข้องแวะกับน้ำเมาอยู่แล้ว ถ้าดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจะส่งผลต่อการเรียนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ประกอบกับแอลกอฮอล์ยังส่งผลกระทบต่อสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคิดและตัดสินใจทำงานย่ำแย่ลง ขาดความยับยั้งชั่งใจ กลับกลายเป็นคนที่ใช้อารมณ์มากกว่ายึดเหตุผล และทำในสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาท ฯลฯ

เหล้าสุราที่เป็นสิ่งเร่งเร้าให้วัยรุ่นกระทำความผิดนั้นเป็นอีกความจริงที่น่ากลัว นอกเหนือจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านร่างกายทำลายไปจนถึงระบบสมอง ความจริงของเยาวชนที่เคยกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองจนต้องถูกจองจำในสถานควบคุม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า "คุกเด็ก" นั้น บนเส้นทางชีวิตของพวกเขาล้วนพัวพันกับอบายมุข เหล้าสุรา นารี การพนัน หลายบทเรียนชีวิตที่พลิกผัน เสียโอกาสในการใช้ชีวิตตามแบบวัยรุ่นทั่วไป มีแอลกอฮอล์เป็นตัวการสำคัญก่อนก่อเหตุหรือกระทำผิด เจาะลึกลงไปครอบครัวของพวกเขาล้วนอยู่ในครอบครัวที่ผุกร่อนอ่อนแอ ขณะเดียวกันสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงมีปัจจัยเร่งเร้าให้เดินในเส้นทางที่ไม่ควรเดินมากขึ้น ขาดที่พึ่งที่คอยชี้แนะด้วยความเข้าใจ

เตชาติ มีชัย หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ตอกย้ำความจริงนี้ด้วยการเผยผลสำรวจจากการทำงานของมูลนิธิ ซึ่งพบว่า ร้อยละ 70 ของกรณีที่มีปัญหาคุกคามทางเพศ กระทำรุนแรงต่อเด็ก ผู้ที่ก่อเหตุมักจะดื่มสุรามาก่อนลงมือ ที่น่าวิตกกังวลคือกรณีคุกคามทางเพศที่เยาวชนทำกับเยาวชนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของจำนวนธุรกิจร้านเหล้าที่ขยายตัวขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะร้านเหล้าปั่น ขณะเดียวกันร้านรวงต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษา ทำให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย เห็นว่ามาตรการควบคุมร้านเหล้าและเหล้าปั่นรอบสถานศึกษาที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ต้องเร่งผลักดันให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด และหวังว่าคงไม่มีใครอ้างผลกระทบด้านการท่องเที่ยวมาขัดขวางมาตรการเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนอีก

"เติ้ล" เยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ก้าวพลาด และต้องใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ บอกว่า เคยหลงผิดใช้ชีวิตไปในทางที่พลาดไป ช่วงวัยรุ่นคึกคะนอง อยากรู้ อยากลอง และอยากได้รับการยอมรับจากพรรคพวกเพื่อนฝูง การดื่มเหล้าเป็นวิธีหนึ่งในการเข้าแก๊ง และด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์บวกกับการตัดสินที่ผิดพลาดเพียงเสี้ยวนาที ทำให้ชีวิตต้องเสียโอกาส เสียอนาคต อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับเลือกมาอยู่บ้านกาญจนภิเษก ผ่านการอบรมสั่งสอน ผ่านกระบวนการต่างๆ และได้รับความอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่ ทำให้ตนเปลี่ยนแปลงความคิดจากเดิมไปมาก รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

"การกระทำผิดที่ผ่านมาเป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เราทำพลาดไป ยังเหลือเวลาอีกมากมายให้ทำความดี ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ทุกครั้งที่มีโอกาสร่วมกิจกรรมของบ้านหลังนี้ออกไปบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตที่พลาดพลั้งไป ตนจะบอกกับน้องๆ และเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าริเป็นนักเรียนนักเลง อย่ายุ่งเกี่ยวกับเหล้าบุหรี่ สิ่งเสพติด ส่วนใครที่กำลังทำอยู่ขอให้เลิกโดยเด็ดขาดเพื่อที่จะได้มีโอกาสดีๆ ในชีวิต" นี่คือเสียงจากใจวัยรุ่นผู้เคยกระทำความผิด เยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่ง ณ นาทีนี้เขาตัดใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นอีกแล้ว และอยากให้เยาวชนผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตไปได้ ที่สำคัญตระหนักในคุณค่าของตนเอง เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

5 อาหารต้านรอยย่น

แถมช่วยลดเสี่ยงสารพัดโรคด้วย

รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้

1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า - 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น

2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้

4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน


อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปาก

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้ชีวิตอย่างรู้ค่า แล้วจะพบว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค์


เคล็ดลับสุขภาพดี ตามแบบฉบับ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์


คนเราเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ย่อมอ่อนล้าลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่วัฏจักรนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคน วันก่อน Ms. Healthy มีโอกาสพูดคุยกับ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ และก็ต้องแปลกใจ เพราะขนาดท่านอายุตั้ง 81 แล้ว แต่ดูยังสุขภาพดีและยังแข็งแรงยิ่งกว่าคนหนุ่มสาวบางคนเสียอีก ถามไถ่เข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าแท้จริงคุณชายท่านมีเคล็ดลับตรงที่ “รู้จักใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า”


เรามักพบเห็น ม.ร.ว.ถนัดศรี จากรายการโทรทัศน์ และทุกครั้งก็จะเห็นท่านยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คุณชายบอกเคล็ดลับว่า ถ้าเราทำงานที่ชอบก็จะมีความสุข ไม่เครียดและที่สำคัญยังมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานนั้นเกินร้อยอีกด้วย


“ทำงานต้องมีเล่น ถ้าไม่เล่นเหมือนเป็นบ้า ถ้าทำงานไม่สนุกเหมือนตุ๊กตา” ใครที่ไม่อยากเครียดจัดจนเป็นบ้า ก็สามารถหยิบยืมเคล็ดลับนี้ไปใช้ได้ เจ้าของเขาไม่หวง!..


จบเรื่องงานมาที่เรื่องอาหารการกินกันบ้าง ใครๆ คงคิดว่าอาหารการกินของ ม.ร.ว.ถนัดศรี ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมานานคงต้องพิถีพิถัน มีระดับตำหรับราชา แต่ว่าผิดคาด เพราะท่านเป็นคนกินง่าย อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นั่นถือเป็นสุดยอดอาหารของคุณชายท่านแล้วค่ะ


“อาหารที่รับประทานไม่จำเป็นต้องราคาแพง ปลาทูทอดวันละตัวก็เพียงพอแล้ว แต่ก็อย่าลืมอาหารจำพวกผัก จะเป็นคะน้าหรือผักบุ้ง ทานให้ได้ทุกวันก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ”


คุณชายย้ำสำหรับผู้สูงอายุด้วยว่า ให้เลี่ยงอาหารพวกเนื้อสัตว์ และที่มีส่วนผสมของกะทิ ให้หันมารับประทานเต้าหู้แทน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสม และเนื่องจากในวันที่ 16 ตุลาคม เป็นวันอาหารโลก คุณชายเลยถือโอกาสนี้ชักชวนคนไทยใส่ใจเรื่องอาหารการกิน โดยเน้นรับประทานผักให้มากเป็นพิเศษ จะผักต้มหรือผักสด ลองวางคู่กับไขเจียวเคียงกับน้ำพริก ท่านว่ารสชาติเข้ากันดีเยี่ยมเลยทีเดียว


การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณชายให้ความใส่ใจ ท่านสามารถเดินขึ้นตึก 2 ชั้น โดยไม่ใช้ลิฟต์ ได้อย่างสบาย การทำเช่นนี้เป็นประจำจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ลุยงานได้ชนิดไร้ปัญหา แต่สำหรับผู้สูงอายุก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จับราวบันไดให้แน่นๆ เพราะอาจพลาดพลั้งเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และหากพอมีเวลา ก็ลองบริหารกล้ามเนื้อด้วยการนวดดูบ้าง อย่างการนวดเพื่อสุขภาพฉบับไทยๆ ได้ทั้งการพักผ่อนและผ่อนคลายไปในตัว


รู้เคล็ดลับดีๆ อย่างนี้แล้วอย่ารอช้านะค่ะ รีบถนอมสุขภาพเสียตั้งแต่ตอนนี้ ภายภาคหน้าจะได้ไม่มีปัญหาให้ยุ่งยาก Ms. Healthy คนหนึ่งล่ะค่ะ ที่จะขอเอาเคล็ดลับนี้ไปปฏิบัติต่ออย่างแน่นอน คุณล่ะค่ะ พร้อมที่จะมีสุขภาพดีกันหรือยัง...


ขอขอบคุณข้อมูล/ภาพประกอบจาก : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ

แนะดูสี-กลิ่น-วันหมดอายุก่อนทาน

ทราบหรือไม่ว่า ยาแต่ละชนิดจะเสื่อมคุณภาพเมื่อไหร่ วันนี้มีวิธีสังเกตมาฝาก...

- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

- ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

- ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป

วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

ครั้งหน้าถ้าจะรับประทานยา อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุก่อนรับประทานยากันด้วย

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

สุขภาพเส้นผมกับปัญหา ‘ผมร่วง’

แนะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยได้

“เส้นผม” เปรียบเสมือนแขนขาของผิวหนัง เส้นผมและขนในแต่ละส่วนของร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน คนเรามีขนหลายชนิด ภาษาไทยเรียกขนบนศีรษะว่า “ผม” แต่ขนที่บริเวณอื่น จะเรียกว่า “ขน” ขณะที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “hair” ทั้งหมด โดยปกติหนังศีรษะของคนเรามีเลือดมาเลี้ยงมาก และทำหน้าที่ควบคุมการกระจายความร้อนของร่างกาย

บนหนังศีรษะมีเส้นผมรวมทั้งสิ้นประมาณ 120,000 เส้น ผมสีบลอนด์จะมีเส้นผมมากกว่าสีอื่น โดยมีประมาณ 140,000 เส้น ผมสีเข้มมีประมาณ 105,000 เส้น ในขณะที่ผมสีแดงจะมีประมาณ 90,000 เส้น นอกจากเส้นผมบนหลังศีรษะแล้ว ทั่วร่างกาย มีขนและผมรวมทั้งสิ้น 5 ล้านเส้น ในร่างกาย ของคนเรา ส่วนที่ไม่มีผมและขนเลย คือ ริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ทั้งนี้พบว่าในแต่ละวัน เส้นผมหลุดร่วงจากหนังศีรษะไม่เกิน 100 เส้น

>> เหตุปัจจัยที่ทำให้ผมร่วง

- อายุ, พันธุกรรม และฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งพบว่าถ้าอายุมากขึ้น การเจริญเติบโตของเส้นผม จะโตช้าลง

- จากฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่เป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศชายที่มีชื่อว่า “แอนโดรเจน” ซึ่งถ้าระดับของฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายมีสูงก็จะส่งผลทำให้ผมร่วง ดังนั้นทั้งเพศหญิงและเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ทั้งสองเพศ

- ภาวะตั้งครรภ์ ในเพศหญิง หรือผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดมาเป็นเวลานานอาจเกิดอาการผมร่วงได้ซึ่งจะหายเป็นปกติหลังเลิกกินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตรประมาณ 4-6 เดือน

- จากยาเคมีบำบัดและโรคภัยไข้เจ็บ ผมร่วงที่เป็นผลจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดเป็นสิ่งที่พบเห็นและทราบกันดี แม้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับยาเคมีบำบัดทุกชนิดแต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก นอกจากนี้ ยังมียาอื่นที่ทำให้ผมร่วงได้เหมือนกัน เช่น ยารักษาโรคเก๊าต์ ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต และยาโรคหัวใจบางชนิด การใช้วิตามินเอในขนาดสูงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้มากและมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดยาแล้ว รวมทั้งโรคภัยต่างๆ ที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ได้แก่ โรคของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ ภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในผู้หญิงที่เสียเลือดจากการมีประจำเดือนครั้งละมากๆ รวมทั้งโรคเรื้อรังทั้งหลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

>> การป้องกันไม่ให้ผมร่วง

1. เลือกรับประทานอาหารและของที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง

2. ควรนวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อบำรุงรากผมบ้าง

3. ควรทำความสะอาดผมอย่างสม่ำเสมอ

4. ควรใส่ครีมบำรุงผม ทุกครั้งที่สระผม

5. ควรรับประทานแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ไบโอติน หรือ Vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่างๆ โดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด และแครอท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

>> การรักษา

1.การรักษาโดยคำนึงถึงสาเหตุหลักและปัญหาเป็นสำคัญ

2.การใช้ยาทา minoxidil เพื่อช่วยเพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่บริเวณรากผมและโคนเส้นผม

3.การใช้ยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนแอน-โดรเจนชื่อ finasteride ซึ่งจากการศึกษาวิจัย พบว่าได้ผลในการรักษาพอสมควร แต่มีข้อควรระวังที่สุดคือยานี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ห้ามใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด แต่ในกรณีที่ผมร่วงเป็นหย่อมๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อรักษาอาการดังกล่าว หรือพิจารณาใช้ยาแอน ทราลินชนิดทา หรือทาร์ชนิดทา ช่วยในการรักษาเพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการผ่าตัดปลูกเส้นผมจริง เพื่อช่วยขจัดปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

“ป๊อด โมเดิร์นด็อก” กับความลับแห่ง “โยคะ


เติมพลังชีวิต สร้างความสมดุลให้ร่างกาย


ชายหนุ่มร่างเล็กที่หลายๆ คนรู้จักกันในฐานะนักร้องนำวงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟ ระดับแนวหน้าอย่าง “โมเดิร์นด็อก” ป๊อด – ธนชัย อุชชิน ที่เห็นกันอยู่หากเหยียบเวทีเมื่อไหร่จับไมค์เข้าแล้วล่ะก็ จำต้องสวมวิญญาณทั้งร้องเต็มเหนี่ยวเต้นเต็มแรง เรียกดีกรีความมันสุดเหวี่ยงจากคนดูได้ไม่น้อย แต่มีใครจะรู้บ้างไหมว่าเบื้องหลังชีวิตของนักร้องหนุ่มเลือดพุ่งแรงแต่กลับอ่อนโยนและหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพด้วยการเล่นโยคะกับเขาด้วย

“สิ่งแรกที่ดลใจให้ผมฝึกโยคะนั้น เกิดจากนิสัยส่วนตัวซึ่งโดยปกติเป็นคนที่ชอบสนใจเรื่องจิตวิทยาและสนใจเรื่องจิตใจ ประกอบกับเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ อย่างหนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับโยคี-โยคะของคนอินเดียซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวสมองผมอยู่แล้ว”ป๊อดเล่า

ดังนั้น จึงสามารถกล่าวได้ว่า ร้านหนังสือคือแหล่งฟูมฟักแรงจูงใจของป๊อดเกี่ยวกับโยคะ
จากนั้น หนังสือเล่มเล็กๆ ก็ทำให้เขาขยายพรมแดนความคิดไปสู่การปฏิบัติจริง เพราะแม้จะรู้เรื่องโยคะผ่านตัวอักษร ผ่านรูป ผ่านท่าทางการดัดแต่ละประเภท และเข้าใจในทฤษฎีเป็นอย่างดี แต่ความจริงที่ป๊อดไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ เขาไม่สามารถปฏิบัติได้เองจากข้อมูลที่มีอยู่ในหนังสือ ซึ่งในที่สุดในความคิดที่อยากมีครูสอน เพื่อฝึกปรือวิชาอย่างจริงจังจึงเริ่มขึ้น

“เพื่อนแนะนำให้ไปเรียนโยคะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อปี 1957 ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่กับครูหนู หรือ ครูชมชื่น สิทธิเวช ผมเป็นคนมีวินัย ดีบ้างไม่ดีบ้างแต่เป็นคนที่ไม่เคยทิ้งการเรียน เพียงแต่ว่าจังหวะชีวิตบางช่วงหนักแน่นมาก จึงไม่ได้ไปเรียนอย่างต่อเนื่อง”

หนุ่มป๊อดยังบอกอีกว่า บางช่วงชีวิตนั้นตรงข้ามกับโยคะ จึงต้องใช้โยคะเข้ามาช่วยเพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลเพราะเป็นคนที่ใช้อารมณ์มาก ความคิดว่องไว จึงต้องการพัก ท่าแรกจึงตกอยู่ที่ท่าสลบซึ่งเป็นท่าที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่กับตัวเองมากที่สุด

“ถึงแม้จะมีสาวๆ ล้อมรอบ แต่ก็นิ่งนะ” ป๊อดเล่าแบบขำๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะ
เริ่มเล่นช่วงแรกๆ นั้น ครูหนูสอนแบบค่อยเป็นค่อยไป ได้แค่ไหนแค่นั้นเหมือนกับการจับปูใส่กระด้ง แต่ครูหนูยังชมนักเรียนป๊อดว่าอยู่ในขั้นพิเศษหากเป็นเพราะมีพื้นฐานสติที่ดี ทั้งนี้ เนื่องจากบางคนเล่นโยคะแล้วคิดถึงเรื่องอื่น สติก็จะหลุดไปทันทีจึงต้องดึงกลับมา ทั้งนี้การเล่นโยคะยังเป็นการฝึกการควบคุมสติไปในตัวด้วย

หากถามถึงท่าที่ชอบมากเป็นพิเศษนั้น นักร้องหนุ่มก็บอกทันทีเลยว่าเป็นท่า “Headstand” (ยืนด้วยหัว) เพราะเป็นท่าที่ช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิตซึ่งทำหน้าที่หล่อเลี้ยงไปยังสมอง แต่ท่านี้เป็นท่าที่ต้องใช้พลังและพละกำลังภายในพอสมควร เนื่องจากจะต้องนิ่งจึงสามารถควบคุมร่างกายให้ยืนอยู่ได้
สำหรับประโยชน์ของการเล่นโยคะนั้น ป๊อดบอกว่าได้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ได้ความนิ่ง ได้การผลัก ซึ่งไม่เหมือนกับการออกกำลังกายแต่เป็นการผลักย้อนหลัง โดยโยคะเป็นการดึงกลับเพราะทุกการเคลื่อนไหวนั้นจะต้องดูจังหวะให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับลมหายใจเข้าออก

นอกจากนี้ โยคะยังทำให้ร่างกายได้ความสมดุลได้ทั้งความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดพลังเพราะแต่ละท่าจะมีการนวดอวัยวะภายในบางอย่าง ทั้งตับ ไต ไส้ พุงในท้องจึงได้ฝึกสติไปพร้อมกัน เมื่อเล่นเสร็จเหมือนได้เติมพลังให้กับชีวิตเพื่อนำไปใช้ต่อไป

ส่วนกรณีที่ในปัจจุบันกิจกรรมโยคะส่วนใหญ่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและเห็นกันน้อยมากที่ผู้ชายจะหันมาเล่นโยคะซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายจะหันไปเล่นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลังออกแรงกันพอสมควร คนส่วนมากมักจะมองและจับย้ายตะกร้ามาเป็นผู้ชายที่ไม่แมนนั้น
ป๊อดให้ความเห็นว่า....

“จริงๆ แล้วไม่ใช่...โยคะดำริมาจากโยคีซึ่งเป็นผู้ชายที่นั่งสมาธินานๆ หลายชั่วโมงในแต่ละวันและได้คิดทำโยคะให้สอดคล้องโดยเลียนแบบท่าทางต่างๆ ทั้งท่างู ท่าปลา ท่าตั๊กแตน ซึ่งเป็นกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือวัยไหนก็สามารถเล่นได้ เพราะโยคะช่วยบำบัดร่างกาย สุขภาพ จิตใจของเรา นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องงานเรื่องชีวิตทำให้ผมเข้าใจตัวเองและเห็นตัวเองมากยิ่งขึ้น”

“อย่างคลาสแรกเข้าไปเจอผู้ชายคนเดียว พี่บางคนเขาแอบมองผมเป็นตัวอย่างเวลาทำท่าเพราะเห็นผมมีความต่อเนื่องมีความมุ่งมั่น ซึ่งผมทำท่า “Headstand” (ยืนด้วยหัว) สิบสองนาที หลังๆ นี้ทำได้สิบสามนาทีแล้ว ผมเป็นพวกที่ขึ้นบันไดแล้วไม่ลงบันได แต่ไม่เคยทิ้งโยคะนะเพราะมีประโยชน์”

“ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ยังแอบบอกมาด้วยว่าหลังจากที่เริ่มเล่นโยคะมาเป็นเวลาหกเดือนแรกทำให้รู้สึกอยากบวชขึ้นมาทันที เพราะว่าเล่นแล้วเข้าถึงจุดหนึ่งที่เบาลง จิตใจสงบ เนื่องจากชีวิตประจำวันในทุกวันนี้ต้องพบเจอคนมากมายสัมผัสได้อยู่ตลอดเวลาทั้งสื่อที่อยู่รอบด้าน สมองคิดอารมณ์เกิดเพิ่มมากขึ้น
สำหรับประโยชน์ในเรื่องของงานเพลง ป๊อดบอกว่าโยคะมีส่วนช่วยในการทำงาน อย่างอัลบั้มพิเศษที่ทำร่วมกับ “บอย โกสิยพงษ์” ชื่อ Project อัลบั้ม Bittersweet หวานขม ก็ได้ประโยชน์จากโยคะมาก

“ถึงแม้ว่าทำงานไปด้วยและเล่นโยคะไปด้วย ถ้าช่วงไหนที่ไม่ได้ไปร้องเพลง ผมยังแบ่งเวลาเพื่อที่จะปลีกตัวไปเล่นโยคะในช่วงเช้าถึงเที่ยง แต่ถ้าไม่มีงานที่จำเป็นครึ่งวันเช้าก็จะเก็บเวลาไว้ให้กับตัวเอง ปกติผมตื่นเช้าและชอบเขียนเพลงตอนตื่นนอนเพราะเป็นช่วงเวลาที่ไว้ทำอะไรให้กันตัวเองเช่นกัน ปกติจะไปเล่นโยคะที่บ้านครูหนู ถ้าผมไม่เอาตัวไปบ้านครูผมก็จะเล่นไม่ได้ อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะ” เพราะถ้าผมเล่นที่บ้านสายตาก็จะเริ่มมองตู้เย็นตลอด ผมเลยไปบ้านครู”

“เวลาที่ผมอยู่กับครูหนู ครูคอยสอนเรื่องสุขภาพตลอด ทั้งเรื่องการกินซึ่งผมจะแย่มากครูจะคอยบอกให้ดื่มน้ำอุ่นๆ เยอะๆ ถ้าสิ่งไหนไม่ดีแกก็จะห้ามอย่าทำนะ โดยผมเองก็จะมีแนวทางชีวิตที่ว่า ทางซ้ายก็ผิด ทางขวาก็เบื่อไม่รู้จะไปทางไหนดี เหมือนกับไขมันเมื่อกินก็อิ่มแต่ถ้าไม่กินก็จะเบื่อไป”

ส่วนคนที่รักสุขภาพแต่ยังลังเลที่จะเล่นโยคะหรือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นด้วยวิธีไหนดี “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ฝากคำแนะนำว่าควรเริ่มจากความสนใจว่าเราชอบอะไรก่อนไม่มีอะไรถูกอะไรผิด บางคนชอบแตะฟุตบอล ตีกอล์ฟ ว่ายน้ำ แต่ละอย่างมีประโยชน์ของตัวมันเองและเหมาะกับนิสัยของแต่ละคน ซึ่งโยคะก็สอดคล้องกับชีวิตประจำวันที่ต้องให้คิดเยอะ การหยุดพักและการสร้างลมหายใจจะสร้างความสมดุลให้กับตัวเอง ถ้าเราสนใจที่จะเล่นโยคะจริงๆ ก็ไม่ต้องลังเลอะไร บางคนกลัวร่างกายแข็งซึ่งถ้าเราไม่ลองก็ไม่รู้ ดังคำ “ถ้าเราไม่มีก้าวแรกจะมีก้าวต่อไปได้อย่างไร”

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤดูฝนอันตราย !ดูแลผิวให้ดี

ด้วยสภาพอากาศที่ฝนตกชุกใน ช่วงนี้ ภาวะหนึ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อฝนตกคือมักเจอกับอากาศที่อับชื้น ทำให้บางครั้งอาจเกิดผื่นแปลกๆ ขึ้นบนผิวหนังได้ ปัญหาที่พบได้เสมอในช่วงหน้าฝนมักมีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อโรคกลุ่มนี้ที่เจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่ชื้น แฉะ ผื่นจากเชื้อรามีได้หลากหลายรูปแบบ เรามาดูผื่นที่พบได้บ่อยๆ กันดีกว่า

วงด่างๆ สีขาวหรือสีเนื้อ ในบางคนอาจขึ้นเป็นวงสีน้ำตาล ร่วมกับมีขุยสีขาวเล็กๆ มักเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณหน้าอกและลำตัว อาจมีอาการคันร่วมด้วยได้ นอกจากดูไม่สวยงามแล้วยังทำให้เสียบุคลิก ผื่นชนิดนี้เป็นลักษณะของโรคเกลื้อน ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่นที่สุขอนามัยไม่ค่อยดี ไม่ชอบอาบน้ำ เชื้อเกลื้อนเป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Malassezia furfur สามารถพบได้บนผิวหนังของคนทั่วไป แต่ปกติแล้วไม่ก่อโรค ยกเว้นในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหงื่อออก หรือตากฝน แล้วไม่ยอมอาบน้ำ ร่างกายชื้นแฉะอยู่เป็นเวลานาน ทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดผื่นลักษณะดังกล่าวขึ้น

ในคนที่น้ำหนักมาก หรือภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจเกิดผื่นสีแดงขึ้นตามบริเวณข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ หรือใต้ราวนม ร่วมกับมีอาการคันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในกลุ่มแคนดิดา (Candida) สามารถรักษาให้หายได้โดยการทายาฆ่าเชื้อราทั่วไป แต่มักเป็นซ้ำได้บ่อย เพราะยีสต์ชนิดนี้พบได้ในร่างกายของคนเรา เช่น บริเวณช่องปาก ระบบทางเดินอาหาร และช่องคลอด

ช่วงที่ฝนตกมากๆ บางพื้นที่อาจมีน้ำท่วมขัง หรือเวลาฝนตกนานเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ต้องเดินย่ำน้ำชื้นแฉะเป็นเวลานานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากยังไม่รีบทำความสะอาดเท้า ผ่านไปสักระยะหนึ่งอาจพบว่าผิวตามซอกนิ้วเท้าลอกเป็นขุยขาวๆ หรือเปียกยุ่ย หรืออาจถึงขั้นเป็นแผล มีน้ำเหลืองแฉะที่ผิว เรียกว่าโรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า เกิดจากเชื้อกลากซึ่งอยู่ตามสิ่งแวดล้อม เช่น หิน ดิน ทราย รวมทั้งในสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว ผื่นที่เท้าอาจจะลามไปที่ลำตัวส่วนอื่นได้ ที่พบบ่อยคือทำให้เกิดผื่นบริเวณขาหนีบ เรียกว่า สังคัง

เวลาถอดรองเท้า บางคนอาจมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา เมื่อก้มดูที่ฝ่าเท้าจะเห็นเป็นรูพรุนเล็กๆ หรือเป็นแอ่งเว้าแหว่งตื้นๆ เรียกว่า โรคเท้าเหม็น สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มักพบในผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าที่ทำจากใยสังเคราะห์หนาๆ ซึ่งมักจะแห้งยากในหน้าฝน

นอกจากนี้ ในน้ำที่ขังตามพื้นถนนอาจมีพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิปากขอซึ่งสามารถชอนไชเข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ หรือ ถ้าโชคไม่ดี ได้รับเชื้อที่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเข้าไปตามรอยแผลเล็กๆ ที่เท้า อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

โดยสรุปแล้ว ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่าสาเหตุของโรคส่วนใหญ่มาจากการย่ำน้ำสกปรก หรือปล่อยให้ผิวหนังอับชื้นอยู่เป็นระยะเวลานาน ทำให้เชื้อซึ่งพบได้ตามสิ่งแวดล้อมทั่วไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดโรค ดังนั้นการป้องกันอันดับแรกคือหลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำน้ำ หรือตากฝน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อกลับถึงที่พัก ควรรีบถอดเสื้อผ้า แล้วอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยใช้สบู่หรือสารทำความสะอาดทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชนิดพิเศษแต่อย่างใดเพราะอาจแรงเกินไป เสร็จแล้วใช้ผ้าซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้ง การโรยแป้งฝุ่นสามารถช่วยลดความชื้นและการเสียดสีได้ เสื้อผ้าและถุงเท้าที่ใช้ ควรทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้ายที่ไม่หนาจนเกินไปเพื่อให้ระบายอากาศได้ดี หน้าฝนผ้ายีนส์จะแห้งยากทำให้เกิดความอับชื้นได้ง่ายจึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้แล้วการใส่รองเท้าแตะบ้างก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่เท้าได้ เช่นกัน

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้คงเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน และนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับอากาศในช่วงฤดูฝนนี้

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ออกกำลังกายมีประโยชน์ อย่างไร??

ทราบหรือไม่ว่า การออกกำลังนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังให้ประโยชน์อะไรกับร่างกายอีก วันนี้ Tips สุขภาพ มีมาบอกกันคะ

ประการแรกผิวจะดูดีขึ้น เพราะการออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิว ทั้งช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนของโลหิตที่ดีขึ้น และยังทำให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย

ประการต่อมาจะทำให้ขนาดร่างกายจะสมส่วน ซึ่งถ้าการออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน และลดน้ำหนักได้ จะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูง และโครงสร้างร่างกาย จะทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย

ประการที่สามเส้นผมจะแข็งแรงกว่าเดิม เพราะอย่างการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่จะทำลายเส้นผม

ประการที่สี่ทำให้ดวงตาดูแจ่มใสขึ้น เป็นผลมาจากการไหลเวียนโลหิตที่ดี ดวงตามีความชุ่มชื้น และแจ่มใส นอกจากนี้การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตาที่ทำให้แข็งแรงขึ้น

ประการสุดท้ายกล้ามเนื้อจะดูดีขึ้น การออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ทำให้ดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และก็จะดูฟิตมากขึ้น

เมื่อรู้ถึงประโยชน์ของการออกกำลังกายกันแล้ว หันมาออกกำลังกายกันดีกว่าค่ะ