วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยอดอาหารช่วยบำรุงสติปัญญา จุดประกายให้กับสมอง

การศึกษาจากต่างประเทศ พบว่าการรับประทาน ผลบลูเบอรี่ ไข่ มัสตาร์ดปลาแซลมอน และผักเคล จะช่วยบำรุงเพราะไปกระตุ่นเซลล์ประสาทชะลอโรคสมองเสื่อม...

รายงานการศึกษาระหว่างประเทศ ได้พบว่าอาหาร 5 ชนิดมีคุณประโยชน์ ช่วยจุดประกายความคิดให้กับสมองของเราได้ 5 ชนิด

ผลบลูเบอรี่ ส่วนผสมในผลไม้ชนิดนี้ มีสรรพคุณป้องกันขบวนการ ที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม และยังชะลอสมองไม่ให้แก่ชราลงเร็วด้วย
ไข่ อาหารเช้าชนิดนี้ อุดมด้วยเซเลเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุช่วยบำรุงสมอง ให้คงหนุ่มสาวอยู่เสมอได้นานแรมปี

มัสตาร์ด สิ่งที่ทำให้มันมีคุณสมบัติอันน่าทึ่ง อยู่ที่หัวขมิ้นชัน ซึ่งได้บริโภควันละ 17 มิลลิกรัม หรือเท่ากับกินมัสตาร์ดวันละ 1 ช้อนชา จะไปช่วยปลุกยีนซึ่งควบคุมการกำจัดขยะของเซลล์ในสมอง ให้แข็งขันขึ้น

ปลาแซลมอน ปลาเนื้อสีชมพูนี้อุดมด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 ชนิดที่เชื่อว่ามีสรรพคุณต่อต้านความแก่ชราของสมองมากที่สุด

ผักเคล อันเป็นกะหล่ำปลีชนิดหนึ่ง ถ้าหากได้กินผักใบดกนี้อย่างน้อยวันละ 3 มื้อ สารคาโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในผัก จะช่วยชะลอสมองเสื่อมเพราะความแก่ชราให้ช้าลง

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมุนไพรไทยหยุดเลือดกำเดาไหล

อาการเลือดกำเดาไหลเกิดจากเส้นเลือดเล็กๆ ที่บุเยื่อจมูกฉีกขาด ทำให้มีเลือดไหลออกทางจมูกข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ส่วนมากมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน พบบ่อยในเด็ก

เลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยมากมักไม่ใช่สาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง แต่อาจเกิดจากความผิดปกติและโรคต่างๆ ได้ ดังนี้

1. การบาดเจ็บของเยื่อบุจมูก ได้แก่ การแคะจมูก ผู้ที่มีนิสัยชอบแคะจมูกจะมีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะออกจะเกิดแผลถลอก การสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างเร็ว เช่น ระหว่างขึ้นเครื่องบินหรือการดำน้ำ อาจมีผลให้เกิดเลือดออกในโพรงอากาศข้างจมูกและมีเลือดกำเดาไหล นอกจากนี้ยังเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะและใบหน้า อาจโดนที่จมูกโดยตรงหรือโพรงไซนัส ทำให้มีเลือดออกได้

2. การอักเสบในช่องจมูก ได้แก่ ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคแพ้อากาศ อาการคือจะมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้ามีการสั่งน้ำมูก อาจทำให้เลือดกำเดาไหล ส่วนภาวะอากาศหนาว ความชื้นต่ำ ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง เกิดการอักเสบ และเลือดออกได้ง่าย

3. การผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก มีลักษณะโค้งงอหรือเป็นสันแหลม ทำให้มีน้ำมูกแห้งกรัง เมื่อแคะจะมีเลือดออกได้

4. เนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก ทั้งชนิดร้ายและไม่ร้าย ก็อาจทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้เช่นกัน

5. โรคทางระบบอื่นๆ ได้แก่ โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือด หรือความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดแตกได้

อย่างไรก็ตาม อาการส่วนใหญ่ที่พบมักไม่ค่อยมีอันตรายร้ายแรง และสามารถรักษาได้เองด้วยวิธีพื้นบ้านง่ายๆ ที่ช่วยหยุดเลือดกำเดาให้คุณได้ในเวลาไม่กี่นาที

บีบจมูกหยุดเลือดไหล

เมื่อมีเลือดกำเดาออก อย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนะคะ นอกจากการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยการใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณสันจมูกที่หลายคนรู้จักกันดีแล้ว เมษามีวิธีหยุดเลือดกำเดาง่ายๆ ก็คือ การกดบีบจมูก เริ่มต้นจาก

1. นั่งหลังตรง โน้มศีรษะมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลลงคอ
2. ต่อมาให้คุณสั่งน้ำมูกเบาๆ เพื่อไล่ลิ่มเลือดที่อาจไปขัดขวางการสมานรอยแตกของหลอดเลือด
3. จากนั้นใช้นิ้วบีบจมูกเข้าหากันเบาๆ แล้วกดเข้าหาหน้า นิ่งอยู่ในท่านี้อย่างน้อย 10 นาที (ระหว่างนี้ให้หายใจทางปาก)
4. ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหล ให้กดต่อไปอีก 10 นาที วิธีนี้มักได้ผลดี

สมุนไพรเยียวยาเลือดกำเดาไหล

นอกจากนี้เรายังมียาสมุนไพรไทยรักษาเลือดกำเดาไหลจาก คุณบุญยืน ผ่องแผ้ว หรือหมอน้อย หมอสมุนไพรประจำคลินิกหนองบงการแพทย์แผนไทย จังหวัดลพบุรี มาแนะนำกันค่ะ

• ใบพลู ใช้ใบพลู 1 ใบ ม้วนให้กลมเหมือนมวนบุหรี่ ขนาดให้พอดีรูจมูก ขยี้ปลายข้างหนึ่งให้พอช้ำ นำปลายที่ช้ำสอดเข้าไปในจมูกข้างที่มีเลือดไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี

• น้ำมะนาว ใช้มะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำร้อน 1 แก้ว เติมเกลือครึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายไม่ขัดขาวครึ่งช้อนโต๊ะ ชงดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหาร น้ำมะนาวมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

• รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนทั้งรากทั้งโคน ยาวประมาณ 1 คืบ (ตั้งแต่รากขึ้นไป) ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

• รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

• รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนัก 1 บาท หรือประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1-2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้
.
• รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

นอกจากนี้ หมอน้อยได้ให้ตำรับยาไทยสูตรโบราณ ซึ่งมีสรรพคุณสมานบาดแผล ห้ามเลือด และฆ่าเชื้อได้ดีมาฝากกันค่ะ

ใช้ขมิ้นอ้อย 7 แว่น ขมิ้นชัน 7 แว่น เกลือตัวผู้ 3 เม็ด กระเทียม 3 กลีบ ตำทุกอย่างให้เข้ากันดี หลังจากนั้นนำยาทั้งหมดเคี่ยวกับน้ำมันพืชครึ่งลิตร เคี่ยวจนกระเทียมไหม้ดี แล้วจึงยกขึ้นและกรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำมัน หลังจากนั้นใส่เหล้า 3 หยด ใส่ภาชนะขวดแก้วเก็บไว้

เมื่อมีเลือดออกในจมูก ให้นอนหงายและใช้คัตตอนบัด (สำลีปั่นหู) จุ่มน้ำมันทาภายในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก คลึงจมูกเบาๆ ทำวันละ 1 ครั้ง หรือเวลาที่มีเลือดกำเดาไหล

เพียงเท่านี้อาการเลือดกำเดาไหลที่หลายคนเคยตื่นตระหนกก็หยุดไหลด้วยดี แต่ถ้าทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้ว เลือดยังไม่หยุดไหลหรือเลือดยังไหลลงคอไม่หยุด ขอแนะนำว่าควรรีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านโดยด่วนค่ะ

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ควรหรือไม่...ใช้แป้งที่จุดซ่อนเร้น

ถ้าใช้แป้งกับจุดซ่อนเร้น ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

หลายคนนิยมทาแป้งโรยตัวเพราะทาแล้วรู้สึกว่าผิวเนียน เนื้อนวล แถมมีกลิ่นกลุ่นหอมละมุนอีกต่างหาก ใครๆ ก็เลยนิยมใช้แป้งกันอย่างแพร่หลาย ใช้กับทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่หน้าจนถึงฝ่าเท้า ไม่เว้นกระทั่งก้นและจุดซ่อนเร้นซึ่งผู้หญิงส่วนมากให้ความเห็นว่า ช่วยให้แห้งสบายจากความชื้นโดยเฉพาะเมื่อใช้แผ่นอนามัยรองซึมซับกันเปื้อน ใช้กันตั้งแต่เด็กแบเบาะจนแก่เฒ่า แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการใช้ชีวิตเลยก็ได้ แต่ใช้กันมากขนาดนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่ามันจะทำให้มีปัญหากับสุขภาพบ้างไหม?

ก่อนอื่นมาดูกันว่าแป้งโรยตัวทำมาจากอะไร?

คำว่า แป้ง ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Talc มันคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นหินที่มีอยู่ในธรรมชาติ ที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า soapstone หรือ steatite ส่วนประกอบทางเคมีก็คือ hydrate magnesium silicate แต่มันอาจมีสารอื่น เช่น คลอไรต์ (chlorite) ร่วมด้วย เรารู้จักแป้งกันดีเมื่อมันถูกนำมาใช้งานในรูปของผงฝุ่นแป้ง และเพราะคุณสมบัติของแป้งที่ดีในเรื่องของการทนไฟทนกรด ต้านทานต่อการนำไฟฟ้า ช่วยการผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้พื้นผิวที่มันเคลือบอยู่แห้ง เนียนลื่นไม่ดูดติดกันเป็นสิ่งที่ทำให้มันถูกนำมาใช้ประโยชน์ในทุกวงการทั้งในภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะทำสี ทำสารหล่อลื่น เซรามิคกันไฟ แก้ว ยาขัดล้างทำความสะอาด กระดาษ ยาง ฯลฯ จนถึงยาและเครื่องสำอาง ตั้งแต่แป้งฝุ่นทาหน้า แป้งเด็ก สบู่ ครีมทาผิว น้ำยาดับกลิ่นตัว ฯลฯ เมื่อใช้แป้งกันมากมายในชีวิตประจำวันแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้หรือไม่?

อันตรายต่อสุขภาพปอด

เวลาทาแป้งตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะลอยละล่องในอากาศ และถ้าผงฝุ่นแป้งถูกสูดเข้าทางเดินหายใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นเวลานานๆ มันก็อาจจะสะสมอยู่ในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เราเรียกภาวะนี้ว่า pneumoconiosis ทำให้มีปัญหากับการหายใจ และถ้าสูดเข้าครั้งละมากๆ เช่น การสำลักผงแป้งเข้าไป ก็มีรายงานหลายชิ้นบอกว่า มีเด็กทารกที่ปอดอักเสบและตายจากสาเหตุนี้ สรุปว่าแป้งอาจทำให้ปอดมีปัญหาได้
แป้งไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ปอด เว้นแต่ว่าแป้งนั้นจะมีใยหินแอสเบสตอส (Asbestos Fibers) ผสมอยู่ด้วย แป้งที่ใช้ทั่วไปไม่มีแอสเบสตอส และแป้งที่มีแอสเบสตอสอยู่ก็มีจากแห่งเดียวในแหล่งแป้งของอเมริกา ซึ่งทำเหมืองในกิจการของการค้นคว้าวิจัยเท่านั้นไม่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ

อันตรายต่อสุขภาพรังไข่

เพราะการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศมีมากจนเป็นแฟชั่นฮิตอีกอย่างหนึ่ง ในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1970 ก็เลยมีการสงสัยว่าแป้งทำให้เกิดมะเร็งที่รังไข่ได้หรือไม่? ก็มีคนทำการค้นคว้าและย้อนถามพบว่า คนที่เป็นมะเร็งรังไข่ 43% ที่ใช้แป้งอย่างมากมายกับอวัยวะเพศ แต่พวกที่ไม่ได้เป็นมะเร็งรังไข่ 28% ก็มีการใช้แป้งกับอวัยวะเพศเช่นกัน มันทำให้อัตราเสี่ยงมีมากถึงเกือบ 2 เท่า และมีอีกมากมายกว่า 30 รายการค้นคว้าที่ได้ผลประมาณว่าเป็นแบบเดียวกันนี้ บางรายงานสรุปความเสี่ยงมากถึง 2.5 เท่า

หลังจากปี ค.ศ. 1973 ในสหรัฐอเมริกาก็ออกกฎหมายบังคับให้แป้งที่ใช้ทาตัวและเครื่องสำอางต้องปราศจากแอสเบสตอส (เพราะคิดว่าอาจเป็นเพราะแอสเบสตอสทำให้เกิดมะเร็งที่ปอดและมะเร็งที่เยื่อบุในช่องปอดและช่องท้อง) แต่ก็ยังมีรายงานในปีถัดมาเรื่อยๆ ว่ามีโอกาสเสี่ยงเกิดมะเร็งที่รังไข่สูงขึ้น 33% ในพวกที่ใช้แป้งกับอวัยวะสืบพันธุ์ และมีรายงานหนึ่งที่พบว่าต่อมน้ำเหลืองที่อุ้งเชิงกรานของคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะที่ 3 ของรังไข่แบบ papillary serous มีเจ้า talc อยู่ในนั้น

สรุปว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องของการใช้แป้งที่บริเวณอวัยวะเพศและทำให้เกิดมะเร็งของรังไข่แบบเซลล์บุพื้นผิว (epithelial cancer)โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง และด้วยความเชื่อที่ว่า talc เป็นอินออร์แกนิค (สารอนินทรีย์) จึงไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน ขณะนี้แป้งที่ใช้โรยตัวและเครื่องสำอางในอเมริกาไม่ได้ใช้ talc แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวโพด (corn starch) ซี่งเป็นสารออร์แกนิค (สารอินทรีย์) สามารถย่อยสลายตัวในคนได้ ซึ่งคาดว่าน่าจะปลอดภัยกว่า ถึงตอนนึ้ยังไม่มีรายงานว่ามีความเกี่ยวข้องระหว่างการใช้แป้งข้าวโพดกับการเกิดมะเร็งที่รังไข่


แป้งไทยมีส่วนผสมต่างจากแป้งเมืองนอกหรือไม่?

แป้งโรยตัวและเครื่องสำอางที่เมืองไทยทำจาก talc เชื่อว่าไม่น่าจะมีใยหินหรือแอสเบสตอสปนเปื้อน แต่เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องของมะเร็งรังไข่ดั่งรายงานทางการแพทย์ที่มีมากมาย ดังนั้นแม้แต่แป้งในอเมริกาที่เปลี่ยนไปใช้แป้งข้าวโพดแล้วก็ตาม กุมารแพทย์และสูตินรีแพทย์จึงแนะนำว่า ไม่ควรใช้แป้งหรือโลชั่นกับอวัยวะสืบพันธุ์ ดังนั้น...

• เด็กๆ ที่ต้องใส่ผ้าอ้อม สาวๆ ที่ใช้ผ้าอนามัยยามมีประจำเดือน หรือหญิงวัยทองที่มักเคยชินทาแป้งบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์อยู่เสมอนั้น ที่จริงแล้วไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้นอีกต่อไป ใครทำอยู่ก็เลิกเสียดีกว่าค่ะ

• การดูแลสุขลักษณะบริเวณอวัยวะเพศและก้นไม่ให้อับชื้นก็คือ การล้างด้วยสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำให้หมดสบู่ ตามด้วยการซับให้แห้งก่อนใส่ผ้าอนามัยชิ้นใหม่ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมและผ้าอนามัยบ่อยๆ จะได้ไม่เหนอะตัว และไม่มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

• ถ้ารู้สึกว่ามีอาการแสบคันบริเวณก้นหรืออวัยวะเพศ ให้สังเกตและดูแลเรื่องของความชื้น หรือการแพ้ผ้าอนามัย หรือการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป หรืออาจมีการติดเชื้อก็ได้ อย่านิ่งนอนใจควรไปปรึกษาแพทย์

• เมื่อรู้สึกอยากจะใช้แป้งกับอวัยวะเพศ ก็ให้นึกว่า อย่าเสี่ยงต่อการเกิดปัญหากับรังไข่ในอนาคตจะดีกว่า

• ถ้ารู้สึกไม่สบายและอับชื้นบริเวณจุดซ่อนเร้นอาจใช้วาสลีนหรือยูเรียช่วยทาเคลือบผิวและเปลี่ยนแผ่นอนามัยบ่อยๆ

• ถ้าไม่มีประจำเดือนก็ไม่ควรใช้แผ่นอนามัยรองกันเปื้อนเพราะพบได้บ่อยๆ ว่ามีอาการแพ้และผื่นขึ้นได้บ่อย

• สำหรับการทาแป้งให้เด็กๆ คุณแม่ที่ชอบบีบแป้งใส่อุ้งมือและทาไปยังบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ดีกว่าค่ะ

• ถ้าจะใช้แป้งทาที่อื่นๆ ในร่างกายก็เทแป้งครั้งละน้อย และพยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ เพราะจะปนเปื้อนเข้าปอดทั้งของคุณและเด็ก

• ไม่ควรให้เด็กถือกระป๋องแป้งเขย่าเล่น เพราะอาจหกใส่และสำลักหายใจเอาแป้งเข้าปอดและปอดอักเสบ ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงมีโอกาสถึงตายได้ค่ะ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทาแป้ง ก็ควรใช้ทีละน้อยๆ และทาในบริเวณที่เหมาะสมนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และที่สำคัญช่วยประหยัดเงินในการซื้อแป้งเป็นโหลๆ อีกต่างหาก

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สาว 6 อาชีพกับเส้นเลือดขอด

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นเส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง

และหากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิงที่เสี่ยงเกิดเส้นเลือดขอดก็มักเป็นคุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทางและสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียดทำให้เข้าข่ายเสี่ยงดังนี้

คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น เรือจ้าง เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ต้องยืนสอนหน้าชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจัดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่องและรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย

นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้นมีตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่างการตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน

แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทนและโอกาสท่องเที่ยว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากการขึ้น-ลงเครื่องบินเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าอาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า

พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืนหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!

พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลายชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างหาก

สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็นเวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอกสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี

ทั้งนี้หากว่าคุณมีเส้นเลือดขอดก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วมก็อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมากจนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัดที่เหมาะต่ออาการของแต่ละคน

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด

• ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา

• หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง

• หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียวอาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหากเป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือดกระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า

การรักษาแบบผ่าตัด

เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัดและใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอดแล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์

การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ช้าลงสักนิด ชีวิตมีพลัง

กลางสัปดาห์ก็ยังกล่าวต่อกันด้วยเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต ‘Slow Life’ ปรับลดความเร็วของการคิด พูด ทำ ให้อยู่สุขสงบบนทางสายกลางอย่างพอเพียง

‘สามัญประจำบ้าน’ วันนี้ มีเคล็ดไม่ลับในการปฏิบัติตัวให้ช้าลง แล้วประโยชน์นั้นจะเกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกาย โดยเริ่มจากการกิน ที่ใคร ๆ มักจะตักอาหารใส่ปาก รีบกิน รีบเคี้ยว รีบกลืน ซึ่งไม่เป็นผลดีเพราะอาหารจะถูกย่อยยากและช้าขึ้น จนบางคนอาจรู้สึกไม่สบายท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ส่วนผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนัก การกินเร็วจะไม่ทำให้คุณบรรลุเป้าหมายนั้นได้

แล้ววิธีการกินให้ร่างกายได้สุขภาพจะต้องทำอย่างไร? เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับ ‘สมอง’ เพราะสมองจะส่งความรู้สึกอิ่มหลังการกินอาหารเข้าไปแล้วราว 20 นาที เนื่องจากร่างกายส่งสัญญาณไปว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดขยับตัวสูงขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้นการรีบกินอย่างเร็วในช่วง 20 นาทีแรก อาจทำให้คุณอิ่มเกินจริง หรือจุกเสียดได้ แต่ที่ควรทำคือเคี้ยวอาหารให้ได้ 15 ครั้งต่อคำแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้กินได้น้อยลงและย่อยง่าย

เสริมเติมนอกจากการกินให้ช้า เคี้ยวอย่างละเอียด...ชาวโอกินาวา ในญี่ปุ่น นิยมใช้เทคนิคการกินอาหารให้อิ่มเพียง 80 เปอร์เซ็นต์ เขาถือว่าเป็นระดับความอิ่มแบบพอดี ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือการดื่มน้ำตาม ผลลัพธ์จึงทำให้ชาวบ้านในบ้านเมืองนั้นไม่ค่อยอ้วนลงพุง และสุขภาพดี

อีกเรื่องคือ 'การหายใจ' ที่ขอเวลาเพียงอย่างน้อยวันละ 15 นาที ตั้งสติให้ความสำคัญกับการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยลมหายใจออกยาว ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นการเติมพลังให้กับปอด แถมยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย

นอกเหนือจากข้อควรคำนึงทั้งสองอย่างข้างต้นนั้น ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ทุกคนรู้ แต่ไม่ค่อยใส่ใจทำ อย่างเช่น การพักผ่อนให้เพียงพอในช่วงเวลาที่เหมาะสม หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำแล้วช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และอายุยืนยาว

ขอบคุณทิปจาก นสพ.เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กินอาหารต้านอาการเเสบร้อนกลางอก

ผู้ที่มีอาการจะรู้สึกร้อนบริเวณหน้าอกหรือลำคอ เนื่องจากเกิดกรดในกระเพาะอาหารมาก ทำให้รู้สึกปวดท้องแบบปวดแสบปวดร้อนจนลุกลามมาถึงหน้าอกและลำคอ

เนื่องจากสาเหตุหลักคือการกินอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ การปรับอาหารจึงเป็นวิธีแก้ที่ตรงจุด

• คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อาทิ ถั่วเมล็ดแบน มันฝรั่ง ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดขาว
การกินอาหารกลุ่มนี้เป็นประจำช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนที่หน้าอก เพราะอาหารกลุ่มนี้เป็นของอ่อนที่กระเพาะย่อยได้ง่าย

• ใยอาหาร อาทิ ยอดแค ถั่วเมล็ดแห้ง ผักต่างๆ เป็นอาหารที่มีซึ่งช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม
ท้องจึงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนที่หน้าอกได้ ทั้งยังช่วยลดน้ำหนักซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้

ถ้าจะให้ได้ผลดียิ่งขึ้น แนะนำให้รับประทานอาหารสุขภาพเต็มสูตรอย่าง อาหารชีวจิต และออกกำลังกายที่หลายคนกินแล้วบอกต่อมาว่าต้านกรดไหลย้อนได้ชะงัด มาเปลี่ยนอาหารกันดีกว่า

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฟันสวย เพิ่มเสน่ห์รอยยิ้มบนใบหน้า

สวยเพราะการจัดฟันด้วยแพทย์

กระแสการจัดฟันยังคงเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ วัยทีน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีปัญหาเรื่องกรรมพันธุ์ เช่น ฟันเก ฟันเขี้ยว ขากรรไกรล่างยื่น

หรือปัญหาจากการดูดนิ้ว ลิ้นดุนฟัน และการจัดฟันมีอัตราเพิ่มขึ้นรวดเร็วสูงถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน อย่างไรก็ตามการจัดฟันเป็นการรักษาอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังไม่วายมีคนกลุ่มหนึ่งที่เห็นการจัดฟันเป็นเพียงแฟชั่นเพิ่มความเก๋เท่านั้น

การจัดฟันมีหลายรูปแบบแตกต่างกัน หลักการทำงานคือ ใช้แรงในการเคลื่อนย้ายฟัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสึกของฟันที่ผิดปกติ หรือการสบฟันที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งปัญหาความผิดปกติของขนาดและความสัมพันธ์ของขากรรไกรต่อใบหน้า

รูปหน้าสวยได้(บ้าง)ด้วยการจัดฟัน

ทพญ.อตินุช ชยานุภัทร์กุล ทันตแพทย์ประจำคลินิกทันตกรรมสวนทนต์ กล่าวว่า การจัดฟันเป็นการรักษาอย่างหนึ่ง คนที่อยากมาจัดฟันคือคนที่มีปัญหาอย่าง ฟันห่าง ฟันซ้อน หรือฟันล้มอยากใส่ฟันปลอมก็ต้องจัดฟันก่อน การจัดฟันทำให้สภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันเรียงตัวสวยงาม

หลายๆ คนคงสังเกตเห็นว่าคนที่ผ่านการจัดฟันมักจะมีรูปหน้าที่เปลี่ยนไป จมูกดูโด่งขึ้น ในจุดนี้ ทพญ.อตินุช ชี้แจงว่า “อาจจะเป็นได้ ไม่ใช่ทุกคน แล้วแต่สภาพ การจัดฟันเปลี่ยนรูปหน้าได้ระดับหนึ่งเท่านั้น อย่างจัดฟันแล้วจมูกดูโด่งขึ้นเพราะมีฟันยื่น พอดึงฟันริมฝีปากบนโดนดึงยุบเข้าไป จมูกก็ชัดขึ้น ซึ่งเป็นผลดีสำหรับคนที่ฟันยื่น แต่ถ้าคนที่จมูกโด่งมากอยู่แล้วก็จะไม่ดันฟันเข้ามาก ในการจัดฟันก็จะทำแต่ละเคสๆ ไป จะต้องดูว่ารูปหน้าไม่ได้สัดส่วนตรงไหนจะแก้ตรงจุดนั้น คนนี้หน้าตาแบบนี้ทำยังไงถึงจะดีขึ้น อย่างคนหน้าสั้นก็ใช้ยางดึงฟัน ใส่เครื่องมือปรับขากรรไกรให้สูงขึ้น โดยปกติการจัดฟันจะทำให้หน้ายาวขึ้น เพราะระยะห่างจมูกกับคางยาวขึ้น ดูเรียวขึ้น บางคนคางยื่นเยอะถึงจัดฟันก็ไม่หาย เพราะขากรรไกรใหญ่ก็ต้องตัดขากรรไกรด้วย”

ระยะเวลาในการจัดฟันอยู่ระหว่าง 1 ปีครึ่งถึง 3 ปีครึ่ง แล้วแต่ว่าฟันเลื่อนมากแค่ไหน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของคนไข้ด้วย คนไข้อายุน้อยก็จะเร็วกว่า อย่างไรก็ตามการรักษาฟันโดยการจัดฟันสามารถทำได้กับคนทุกวัย เพียงแต่ทำตั้งแต่อายุน้อยๆ จะดีกว่า เพราะอายุมากจะทำให้ฟันเลื่อนได้ช้า และเวลาดึงฟันจะมีความเจ็บมากกว่า ส่วนค่าใช้จ่ายสนนราคาเฉลี่ย 4 หมื่นบาทขึ้นไป

อันตราย! จัดฟันเพื่อความเก๋

ผลการตรวจวิเคราะห์โดยทันตแพทยสภา พบว่าลวดและลูกปัดในการจัดฟันแฟชั่นที่ไม่ได้มาตรฐานมีสารเคมีอันตราย ทั้งสารตะกั่ว สารหนู และสารแคดเมียม นอกจากเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ แล้ว ยังอาจเกิดแผลในปากเรื้อรังถึงขั้นเป็นมะเร็งได้

พล.ท.ทพ.พิศาล เทพสิทธา นายกทันตแพทยสภา กล่าวว่า กระแสนิยมในการจัดฟันแฟชั่นได้เปลี่ยนไปในระยะหลัง จากที่เคยใช้ลวดเส้นเล็กร้อยลูกปัดสีต่างๆ มาใช้เครื่องมือจัดฟันที่เลียนแบบเครื่องมือที่ทันตแพทย์ใช้ มีการใส่เครื่องมือที่ติดแน่นกับฟัน และเครื่องมือที่ถอดได้ โดยมีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้น และมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ซึ่งวัตถุในการจัดฟันแฟชั่นส่วนมากจะไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์ไม่มีการฆ่าเชื้อก่อนติดตั้ง ผลที่จะตามมาคือ หากเส้นลวดเกิดไปทิ่มเหงือก อาจเป็นบาดทะยักได้ ประกอบกับช่องปากเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกัน

ด้านทพญ.อตินุช กล่าวว่า การจัดฟันแฟชั่นเป็นไปในลักษณะการติดเครื่องมือที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร การจัดฟันเป็นการรักษา การทำมีผลดีมากกว่าผลเสีย และเครื่องมือที่นำมาติดกันนั้นไม่ใช่เครื่องมือในการรักษา แค่เหมือนเท่านั้น เสี่ยงต่อการเป็นสนิมเมื่อโดนน้ำลายในช่องปาก เพราะเป็นเหล็กไม่ใช่สเตนเลส เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง และเสี่ยงต่อการเป็นแผลในช่องปาก เพราะลวดบาดทำให้เกิดบาดทะยัก ยิ่งสถานที่ทำเสี่ยงต่อเชื้อโรค เครื่องมือไม่สะอาด วัสดุที่ใช้ไม่สะอาด และอาจติดเชื้อจากคนที่ทำก่อนหน้าเราได้ ถึงแม้ในเคสที่คนไข้มีสุขภาพปากและฟันดีอยู่แล้วแต่อยากจะมาจัดฟัน ก็ไม่แนะนำ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตรายก็จริง แต่การติดลวดทำให้แปรงฟันไม่สะอาด ติดไปก็ไม่ได้ทำให้สุขภาพในช่องปากดีขึ้น จะกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี


ดูแลให้ฟันสวย ควร/ไม่ควร

อย่างน้อยที่สุดระยะในการจัดฟันประมาณ 2 ปี เพื่อให้ฟันเรียงเป็นระเบียบ แต่ก็มีบางรายที่ใช้เวลานานมากกว่านี้ 46 ปีก็มี เนื่องจากต้องมีการปรับสภาพฟันและรูปหน้า เช่นนั้นแล้วการที่มีลวดดัดฟันสวมทับฟันอยู่ตลอดเวลาเป็นระยะเวลานานๆ นั้น จึงเกิดปัญหาตามมา และที่พบในการจัดฟันคือ การเกิดสีขุ่นๆ บนผิวฟัน ผนังเนื้อเยื่อในช่องปากบวมแดง เกิดแผลในช่องปากซึ่งมักเกิดจากเหล็กจัดฟันไปเกี่ยวกับผิวในช่องปาก ทำให้เกิดเป็นแผลที่บริเวณผิวของปากด้านใน ฟันผุจากการกร่อนสลายไปของแร่ธาตุบนผิวเคลือบฟัน มีกลิ่นปาก เนื่องจากทำความสะอาดฟันได้ไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร

ภญ.วรางคณา พรมจันทร์ กล่าวว่า สาร PVP มีชื่อเต็มว่า Polyvinyl Pyrrolidone มีคุณสมบัติในการขจัดคราบสกปรก โดยสาร PVP จะเข้าไปทำปฏิกิริยารวมตัวกับโมเลกุลของคราบสกปรกทำให้เกิดการละลายหลุดออกของคราบสกปรกที่ดีขึ้น และช่วยป้องกันการกลับมาจับตัวกันอีกครั้ง โดยการทำงานนั้น PVP จะเข้าไปทำปฏิกิริยาจับกับโมเลกุลของคราบสกปรก (Catechin) และทำให้คราบเหล่านั้นละลายออกมาพร้อมกับยาสีฟันในขณะที่เราแปรงฟัน จึงทำให้คราบสีฟันละลายหลุดออกมา ในขณะที่เราแปรงฟัน PVP จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขจัดคราบฟันร่วมกับสารขัดฟัน (Abrasive) และสารทำความสะอาด (Detergent) ทำให้ฟันสะอาดสดใส แลดูขาวอย่างเป็นธรรมชาติ

ปัญหาของคนที่จัดฟัน ที่มักจะก่อให้เกิดความไม่มั่นใจในระหว่างการจัดฟัน ซึ่งใช้เวลาที่ต้องอยู่กับเหล็กจัดฟันกว่า 2 ปี นั่นก็คือ การมีสีขุ่นเทาๆ น้ำตาลๆ อ่อนๆ เกาะอยู่ซอกฟัน ซึ่งการใช้ยาสีฟันที่มีองค์ประกอบของสารขัดฟันเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถเข้าทำความสะอาด ขจัดคราบในบริเวณซอกฟันที่ยากต่อการเข้าถึง เท่ากับว่าเรายังทำความสะอาดฟันได้ไม่ดีพอ แต่ด้วยความพิเศษของสาร PVP ที่มีโครงสร้างโมเลกุลที่สามารถละลายน้ำได้จึงสามารถละลายคราบสีบริเวณฟันได้ ช่วยลดปัญหาในส่วนที่การแปรงฟันเข้าไม่ถึง (ซึ่งทั้งคนจัดฟันและคนที่ไม่จัดฟันก็เกิดปัญหานี้ได้เช่นเดียวกัน)

นอกจากนี้ ในระหว่างการรักษาควรระวังอาหารแข็ง เหนียว เพราะถ้าใช้ฟันกัดแรงจะทำให้วัสดุที่ติดฟันหลุดได้ ส่งผลให้การรักษาได้ผลช้า ควรแบ่งอาหารรับประทานคำเล็กๆ และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ฟันหน้าขบกัดอาหารสิ่งของต่างๆ

ต้องแปรงฟันให้สะอาด เศษอาหารจะติดง่ายเพราะมีซอกเยอะ แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และต้องระมัดระวังเพราะจะมีเลือดออกตามไรฟันบ่อยกว่าคนปกติ และควรใช้ไหมขัดฟันรวมด้วย ช่วงจัดฟันอาจมีกลิ่นปากควรพกน้ำยาบ้วนปากไว้ด้วยก็ดี ตรวจฟันเสมอ ในช่วงจัดฟันจะทำให้ฟันผุง่าย เพราะยากต่อการดูแลให้สะอาดจริงๆ ดูแลไม่ดีฟันผุได้ พยายามหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่ต้องมีการกระทบกระแทกกันอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้วัสดุหลุด หรือเกิดแผลในช่องปากได้

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของเห็ดหูหนู

จิ๋วแต่แจ๋ว

ทราบหรือไม่ว่าการรับประทานเห็ดหูหนูนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก...

- ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง ไม่เกิดอาการหลอดเลือดตีบตัน
- ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ที่ตึงเครียดให้คลายตัว
- ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เพราะเห็ดหูหนูช่วย ชะล้างและบำรุง เสริมสร้างโลหิต
- ช่วยบำรุงสายตา บำรุงตับ บำรุงผิว ให้เปล่งปลั่งสดใส

รู้อย่างนี้แล้ว ควรหันมารับประทานเห็ดหูหนูกันจะดีกว่า

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แนะวิธี 'กินง่าย-ถ่ายคล่อง'

ด้วยอาหารที่มีเส้นใยสูง

ปัญหาท้องผูกนอกจากจะทำให้เรารู้สึกอึดอัดและไม่สบายท้องแล้วหากปล่อยให้เรื้อรังอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อร่างกายได้ เช่นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวารหนัก หรือเกิดการติดเชื้อในลำไส้เป็นต้นการเลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงในแต่ละวันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นปรกติได้

เส้นใยอาหาร (Fiber) เป็นอาหารที่อยู่ในหมู่คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแต่ไม่ได้ให้พลังงานใดๆแก่ร่างกายเพราะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นกลูโคสได้โดยทั่วไปจะแบ่งเส้นใยออกเป็น 2 ชนิดคือ 1.เส้นใยไม่ละลายน้ำ พบในผัก ธัญพืช เส้นใยชนิดนี้ถือว่าเป็นยาระบายอย่างดีตามธรรมชาติเพราะจะดูดซับน้ำไว้เร่งให้ผนังลำไส้บีบตัวและคลายตัวทำให้กากอาหารผ่านลำไส้อีกทั้งยังทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลดการเกิดริดสีดวงทวารหนักเส้นใยที่ละลายน้ำ พบในผลไม้ที่มีสารเพคตินเช่นแอปเปิลสตรอเบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต เป็นต้น

2.สำหรับแหล่งของอาหารที่มีเส้นใยสูงที่เราสามารถเลือกหามารับประทานได้ง่ายๆ ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะยังมีส่วนของรำข้าวอยู่จะมีใยอาหารช่วยให้อาหารที่อยู่ในทางเดินอาหารเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นช่วยอุ้มน้ำและทำให้อุจจาระมีน้ำหนักมากขึ้น

แอปเปิล ผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งเปลือกจะมีเซลลูโลสที่ช่วยให้อุจจาระพองตัวป้องกันโรคท้องผูกได้ผลไม้ตระกูลส้มแครอทมะเขือเทศผักประเภทใบทุกชนิด ธัญพืช (ลูกเดือย ถั่วแดง ถั่วเขียว) เป็นต้น

กินดีอยู่ดีได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและอย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายอย่างน้อยวันละ 8 แก้วด้วย


วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีถอนขนคิ้ว โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ

ใบหน้าสวยด้วยมือเรา...
หากใครที่อยากมีคิ้วสวย แต่ไม่รู้จะถอนขนคิ้วอย่างไร วันนี้เรามีวิธีถอนขนคิ้วมาบอก โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ไม่ต้องไปร้านเสริมสวยให้เสียเงิน

ก่อนลงมือถอน ควรเตรียมผิวด้วยการลงเจลสูตรบางเบาที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ ดอกคาโมไมล์ และน้ำมันสะระแหน่ เพื่อให้เกิดความเย็นและลดการอักเสบในระหว่างและหลังการถอนคิ้วเวลาถอนจะได้เจ็บน้อยลง

ต่อด้วยใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนรูปคิ้วที่ต้องการก่อน แล้วค่อยถอนส่วนที่เกินออก

แล้วถ้าไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นหรือสิ้นสุดตรงไหน ให้ใช้ดินสอวาดขอบตาวางทาบเป็นแนวตรง จากด้านข้างของปลายจมูก แล้วถอนส่วนที่เกินออกมาทั้ง 2 ข้าง จากนั้นหันดินสอทาบจากปลายจมูกไปถึงหางตา ถอนส่วนที่เกินออกมาจากด้านนอกของแนวดินสอ

สุดท้ายเก็บรายละเอียดที่ใต้คิ้ว ตรงไหนเกินออกมาจากแนวคิ้วก็ถอนออกให้หมด หรือถ้าเผลอถอนออกมากเกินไป ก็สามารถใช้ดินสอเขียนคิ้วตกแต่งเพิ่มได้

เพียงเท่านี้ก็จะได้คิ้วที่สวยได้รูปตามใจตัวเอง ใบหน้าสวยด้วยมือเรา...

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้ำกะทิ รักษาผมร่วง

โปรตีนช่วยบำรุงรากให้งอกยาวเร็ว

ใครมีปัญหาผมร่วง วันนี้มีวิธีรักษาผมร่วงด้วยน้ำกะทิมาฝาก...

น้ำกะทิ ขาวข้นอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย

วิธีทำ นำหัวกะทิมาชโลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว แล้วใช้ปลายนิ้วมือนวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วสระผมตามปกติ

เพียงเท่านี้ปัญหาผมร่วงก็จะหมดไป.

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สร้างภูมิคุ้มกันด้วยผลไม้หลากสี

กินผัก-ผลไม้ตามสี ช่วยป้องกันโรค บำรุงร่างกายให้แข็งแรง

สีสดๆ ของผัก ผลไม้ ไม่ใช่เพียงอาหารตา แต่ละสีสันหมายถึงสารอาหารที่พืชผักชนิดต่างๆ สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากแสงแดด โรค ฯลฯ แต่ให้ประโยชน์กับมนุษย์มากมาย ทั้งยังช่วยป้องกันโรคภัย แต่ละสีของผัก ผลไม้ให้คุณค่าด้านใดบ้าง นิตยสาร "ลิซ่า" ฉบับต.ค.รวบรวมไว้ดังนี้

สีเขียว (กีวี บร็อกโคลี่ ผักกาดหอม คะน้า ผักโขม แขนง กะหล่ำปลี อะโวคาโด)

ผักสีเขียวมี Lutein และ Zeaxanthin ซึ่งเป็นแคโร ทีนอยด์ที่ช่วยปกป้องสายตาและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม บร็อกโคลี่ กะหล่ำปลี และผักประเภทเดียว กันมีสารประกอบที่เรียกว่า Isothiocyanates มีคุณ สมบัติต้านมะเร็ง

สีแดง (มะเขือเทศ แตงโม หัวหอมแดง องุ่นแดง แครนเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ พริกหวานแดง)

ไลโคปีน เป็นสารที่พบในมะเขือเทศและแตงโม อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ สาร Reaveratrol ในองุ่นและไวน์แดง อาจช่วยรักษาโรคปอด หอบหืด และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

สีเหลือง (พริกหวานเหลือง เกรปฟรุต สับปะรด มะนาว)

สารประกอบ Limonoids ที่พบในผลไม้รสเปรี้ยว แสดงว่าสามารถช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็งที่ผิวหนัง ปอด เต้านม กระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ พริกสีเหลืองยังอุดมด้วยวิตามินซี ที่ช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง

สีส้ม (แครอต แอพริคอต มะม่วง ฟักทอง แคนตาลูป)

อาหารสีส้มอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ที่อาจช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน รักษาสุขภาพผิวหนัง กระดูก และทำให้สุขภาพตาแข็งแรง โพแทสเซียมในผลไม้ตระกูลซิตรัสยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ


สีม่วง (พลัม มะเขือสีม่วง องุ่นสีม่วง ลูกเกด พรุน)

อาหารสีม่วงบางอย่าง เช่น องุ่น หรือเบอร์รี่ มีกรดเอลลาจิก (Ellagic) สารประกอบที่ช่วยต้านความชรา ซึ่งอาจป้องกันมะเร็งได้

สีขาว (แพร์ กล้วย เห็ด ดอกกะหล่ำ หัวหอมใหญ่ กระเทียม)

อัลลิซิน (Allicin) สารประกอบในหัวหอมใหญ่และกระเทียมอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก อาหารสีขาวบางอย่างยังมีฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งบางอย่าง


คนที่ชอบกินผักผลไม้จึงถือว่าได้เปรียบคนที่ไม่กินมาก มายนัก

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สกัดน้ำผลไม้ดื่มล้างพิษลำไส้

หนีห่าง มะเร็งร้าย

เมนูเครื่องดื่มที่ นำมาฝากผู้อ่านวันนี้ เป็นเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ 3 ชนิด อันได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ ลูกพีชหรือลูกท้อ และแอปเปิ้ลแดง แถมยังมีน้ำแร่รวมอยู่ในส่วนผสม การันตีว่าดื่มแก้วนี้แล้วจะได้ล้างพิษในลำไส้ แถมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่

สำหรับ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ ผลไม้ขวัญใจสาว ๆ อุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และไบโอติก เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ล้างพิษให้ร่างกายสะอาด ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง บำรุงเลือดและผิวพรรณ แถมยังบรรเทาอาการไอ ขับปัสสาวะได้ดี

มาที่ ‘ลูกพีช’ เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก เบตาแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม มักรวมอยู่ที่บริเวณเปลือก ดังนั้น การนำลูกพีชมาทำเป็นเครื่องดื่ม หลังจากล้างจนสะอาดแล้วให้คว้านเพียงเมล็ดออก รับประทานลูกพีชหรือดื่มน้ำจากลูกพีชจะช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่

ส่วน ‘แอปเปิ้ล’ มีเบตาแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก รวมทั้งเส้นใยเพ็กตินที่มีอยู่มากบริเวณแกนผลแอปเปิ้ล ทำหน้าที่ชะล้างลำไส้เล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและสำไส้ พิษที่ถูกสารอาหารในแอปเปิ้ลชะล้างจะถูกขับออกมาทางกระแสเลือดแล้วจึงปล่อยออกสู่อวัยวะที่มีหน้าที่ขับถ่าย นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยลดความเครียด ล้างพิษในไตและตับ

และ ‘น้ำแร่’ จะมีแร่ธาตุตามธรรมชาติผสมอยู่หลายชนิดแตกต่างกันตามแหล่งน้ำ โดยเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือแมนีเซียม ที่มีอยู่น้ำแร่เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย

หากต้องการดื่มให้ร่างกายได้ประโยชน์ ควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้

สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย

ลูกพีช 1 ถ้วย

แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย

น้ำแร่ 1 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีปรุง เริ่มด้วยการทำความสะอาดผลไม้ทั้ง 3 ชนิด จากนั้นให้หั่นสตรอว์เบอร์รี่และลูกพีชเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยแอปเปิ้ลหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำผลไม้ทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ไผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปในน้ำที่สกัดได้ คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเล็กน้อยดื่มได้ทันที

ปรุงดื่มสม่ำเสมอ รับรองลำไส้ของคุณจะไม่ใช่ที่โปรดปรานของมะเร็งร้าย



วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยืดเหยียดเยี่ยงฤๅษี

บรรเทาปวดเสียดท้องหรือระหว่างลิ้นปี่และสะดือ

วันนี้มีเคล็ดไม่ลับของการยืดเหยียดที่ดัดแปลงมาจากท่าฤๅษีดัดตนตามตำรับการนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อย โดยท่าทางที่จะนำมาแนะนำนี้สามารถช่วยลดอาการปวดเสียดช่วงท้อง หรือระหว่างลิ้นปี่และสะดือ

ปรับท่าทางก่อนยืดเหยียด เพียงนั่งคุกเข่า ให้เท้าราบติดกับพื้น ลำตัวยืดตรง และประสานมือในลักษณะนิ้วทั้ง 10 เสียบสับหว่างเข้าหากันไว้ที่บริเวณหน้าอก

จากนั้นถึงขั้นตอนการบริหาร เริ่มจากการหายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับการพลิกฝ่ามือไปข้างหน้าและยืดแขนออกไปให้ตรง

ต่อเนื่องด้วยการหายใจออกและยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ โน้มแขนไปด้านหลังให้มากที่สุด แล้วกลั้นลมหายใจนับ 1-10 และผ่อนกลับท่าเตรียม โดยทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 3-4 ครั้ง อาการปวดท้องจะทุเลาลง

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุขภาพดีไม่มีโรคมารบกวน

ใครที่อยากมีสุขภาพดี ไม่ป่วยง่าย ๆ วันนี้มีวิธีปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากโรคมาบอก...

- อาหาร

รับประทานอาหารที่ให้สารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ น้ำ และยังมีสารที่พืชสร้างขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ การกินอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายอย่างสมดุล สะอาด ปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคจากการกิน

- การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายสม่ำเสมอมีประโยชน์ ทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดี กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นและทนทานไม่เหนื่อยง่าย รักษาน้ำหนักตัวได้ดี

- การผ่อนคลาย

พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ฝึกจิตให้ผ่อนคลายมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญมาก เพราะความเครียดเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย สุขภาพจิตที่ดีจึงนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีเสมอ

- หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษต่าง ๆ

งดสิ่งเสพติด บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำลายสุขภาพ

เพียงเท่านี้ ก็จะมีสุขภาพดีไม่มีโรคมารบกวนอีกต่อไป...

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ร้อนหรือเย็น เลือกอาบอย่างไรดี ?

ผ่อนคลาย บำบัดเครียด ด้วยการอาบน้ำ

อาบน้ำ เป็นกิจวัตรที่แสนจะผูกพันกับผู้คนมาตั้งแต่เกิด หลายคนอาจจะให้เวลากับการอาบน้ำนานนับชั่วโมง ขณะที่บางคนใช้เวลาเพียงแค่วิ่งผ่านน้ำ ไม่ว่าจะอย่างไร หลังอาบน้ำ ทุกคนก็จะได้ความสะอาดฉ่ำชื่นกันทุกที

นอกจากวัตถุประสงค์เพื่อชำระล้างคราบไคลจากร่างกายแล้ว ปัจจุบันมีคนนำการอาบน้ำเข้ามาเป็นการผ่อนคลาย บำบัดเครียด ช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าได้ โดยจะใช้เป็นฝักบัว หรือแช่อ่างก็ไม่ต่างกัน เพราะสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ แต่อยู่ที่ "อุณหภูมิ" ของน้ำ ที่ความร้อน-เย็นล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น

"น้ำร้อน" สำหรับการอาบน้ำนั้น อุณหภูมิจะอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงเหมาะกับใช้กระตุ้นอาการขี้เกียจ แต่ไม่ควรจะอาบนานเกินไป เพราะหลอดเลือดขยายตัวจนทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว ร้ายไปกว่านั้น อาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา ซึมเซา ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้มีความดันผิดปกติ

ถ้าเป็น "น้ำอุ่น" อุณหภูมิจะอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส ระดับนี้จะช่วยกระตุ้นประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกาย จิตใจสบาย ลดเครียด ลดไข้ได้ "น้ำเย็น" อุณหภูมิจะ ต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส ความเย็นจะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ ระหว่างอาบน้ำถ้าใช้มือตบเบาๆ ไปทั่วร่างกาย จะช่วยกระตุ้นผิวและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้

วิธีการอาบน้ำนั้น ให้เริ่มไล่จากปลายเท้าไปถึงกลางลำตัว เพื่อปรับอุณหภูมิ แล้วจึงเริ่มอาบน้ำ ถ้าใช้ฝักบัว ควรเปิด น้ำแรง ๆ แล้วฉีดไปทั่วตัวช่วยในการผ่อนคลาย

ส่วนการแช่น้ำอุ่นนั้น ควรแช่ราว 10 นาที แล้วค่อยลุกขึ้นมาขัดตัว อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน แล้ว ลงไป แช่ใหม่อีกครั้ง จะช่วย ยืดเส้นสายในร่างกาย สบายตัว ผิวสวย ลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอดช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดไขมันได้ แต่อย่าใช้น้ำที่ร้อนเกินไป และอย่าแช่นานเกินไป อาจทำให้ผิวเปื่อยลอกได้

ส่วนเวลาอาบน้ำที่ดีที่สุดนั้น ถ้าออกกำลังกาย ก็หลังไปแล้วไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง และไม่ควรจะอาบน้ำหลังรับประทานอาหารทันที เพราะอาจทำให้อาหารไม่ย่อย ทางที่ดี ควรอาบก่อน หรือหลังอาหารไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

นี่แหละศิลปะของการอาบน้ำ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์

เน้นผักและปลา เพราะย่อยง่าย

ใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ วันนี้คงสำราญ เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว วันนี้ยังมีเทคนิคกินบุฟเฟ่ต์อย่างไรให้ได้ประโยชน์มาบอกด้วย

- กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง และหันมากินเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แถมยังปราศจากไขมันและไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

- กินอาหารที่ต้มหรือลวก และพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชา

- สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่

- เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะ นอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อน ทำให้เนื้อไม่สุกดี

- อย่ารีบกินจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยย่อยอาหาร

- ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้น ๆ ด้วยวิธีเบา ๆ เช่น ค่อย ๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกินอาหารแล้ว ห้ามล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ อื่น ๆ ก่อน

- รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ รับรองอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุขภาพ “ตา” ดูแลด้วยตนเอง

แนะผู้สูงอายุตรวจตาปีละครั้ง
ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากของมนุษย์ เป็นประตูเปิดทางติดต่อสื่อสารกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับความบันเทิง การท่องเที่ยว รวมถึงการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ ดังนั้นความรู้สำหรับดูแลสุขภาพดวงตาของเราในกรณีต่าง ๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง

เด็ก

เด็กแม้ยังตัวเล็ก ก็อาจมีปัญหาทางตาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้ เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง เป็นต้น กรณีต่าง ๆ ต่อไปนี้ อาจต้องสงสัยว่าเด็กจะมีปัญหาเรื่องการมองเห็น ควรพาไปพบจักษุแพทย์ เช่น

1. กลางรูม่านตามีสีเขียว อาจเป็นโรคต้อกระจกหรือโรคตาอื่น ๆ

2. เด็กมีกระจกตาโตผิดปกติ หรือขนาดทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นโรคต้อหินในเด็กได้

3. เด็กอายุ 2-3 เดือนขึ้นไป ยังไม่มองหน้าแม่หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น

4. เด็กในวัยเข้าเรียนที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติ เอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบตาบ่อย อาจมีปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสาเหตุอื่น

ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ

หลายคนที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ จะมีปัญหาเรื่องปวดเมื่อยล้าตา หรือแสบเคืองตาจากอาการตาแห้งได้ดังนั้น

1. ควรพักสายตาโดยทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมองใกล้ (1-2 ฟุต) ประมาณ 5-10 นาทีต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาบ้าง จะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาได้

2. ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมากเพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์ เช่นไม่ควรตรงกับหน้าต่าง

3. ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าง่าย

4. ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้

5. อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตาก็ได้ที่ทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาจะช่วยแก้ปัญหาได้

ผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป

จะเริ่มมีปัญหาเวลาอ่านหนังสือ จะปวดเมื่อยล้าตาง่าย เมื่อใช้สายตามองที่ใกล้นาน ๆ ดังนั้น อาจต้องใส่แว่นตาช่วยเวลามองใกล้ ซึ่งถ้าสายตาเท่ากัน 2 ข้าง อาจใช้แว่นตาสำเร็จรูปที่มีขายตามตลาดนัดได้ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องปรึกษาร้านแว่นตาหรือจักษุแพทย์

การตรวจสุขภาพตา

1. สังเกตลูกของเราด้วยตัวเราเอง ถ้าสงสัยควรพาไปพบจักษุแพทย์

2. การตรวจวัดระดับการมองเห็น เด็กวัยเรียนอาจจะตรวจในโรงเรียน เช่น Snellen chart ได้

3. ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจหาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้

4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่พบว่าเป็นเบาหวาน ยกเว้นในผู้ที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อย 30 ปี ถ้าไม่มีตามัวลงผิดปกติ อาจรอ 5 ปี ค่อยเริ่มตรวจเป็นประจำปีละครั้งก็ได้

ถ้าจักษุแพทย์พบมีเบาหวานขึ้นตา การยิงเลเซอร์ที่จอประสาทตาอาจจะช่วยให้ในระยะยาวมีสายตาที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ยิงเลเซอร์ แต่ไม่ได้ทำให้สายตาเห็นชัดขึ้น ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และไขมันในเลือดให้อยู่ระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี

อาหารกับดวงตา

การกินอาหารให้ครบ 4 หมู่อย่างเพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยให้สุขภาพทั้งร่างกายและสายตาอยู่ในเกณฑ์ดีด้วยส่วนหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมใด ๆ เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างเพียงพอและพอเพียงตามพระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย

อุบัติเหตุกับดวงตา

การป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น

1. คาดเข็มขัดนิรภัยเวลาขับรถ ไม่ขับรถเวลาเมาหรือง่วงนอน เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ใบหน้าอาจกระแทกกับกระจกหน้ารถทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้างได้

2. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ลม ฝุ่น ด้วยการใส่แว่นกันแดดกันลมบ้าง

3. ใส่แว่นตาป้องกันเวลาทำงานที่อาจมีวัตถุแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น การตอกตะปู การใช้รถตัดหญ้า การเจียเหล็ก เป็นต้น

4. ใช่แว่นตาป้องกันแสงรังสีขณะเชื่อมเหล็ก จะช่วยป้องกันกระจกตาอักเสบจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้

5. เด็กควรระวังการเล่นกับไก่หรือนกที่อาจจิกกระจกตาแตกได้ รวมทั้งการเล่นกับสุนัข อาจถูกสุนัขกับบริเวณเลือกตาและท่อน้ำตาขาดได้

6. ถ้ามีน้ำยาหรือสารเคมีเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดใกล้ตัว เช่นน้ำประปาเพื่อลดประมาณสารเคมีในตาลงบ้างจะช่วยลดความรุนแรงได้ดีขึ้น

แว่นตา และคอนแทคเลนส์

ผู้ที่มีสายตาผิดปกติแล้วต้องใส่แว่นตานั้น โดยทั่วไปจะใส่หรือไม่ใสเวลาใดก็ได้แล้วแต่การใช้งานของเราว่าจำเป็นต้องเห็นชัดหรือไม่

การใส่แว่นตาเป็นประจำไม่ได้ทำให้สายตาดีขึ้นหรือยิ่งผิดปกติมากขึ้น เพราะสายตาจะเปลี่ยนไปเองในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์แว่นตาให้ตรงกับสายตาที่เปลี่ยนไป จะได้เห็นชัด ซึ่งคนสายตาปกตายตาอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นมาก สายตาก็จะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นบ่อยกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าแว่นตาเริ่มไม่ชัดเหมือนตอกเริ่มตัดแว่น ควรไปวัดแว่นเพื่อเปลี่ยนแว่นให้เหมาะกับสายตา สำหรับในเด็กควรได้รับการตรวจสายตาซ้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

เด็กบางคนเท่านั้นที่ต้องเน้นว่าให้ใส่แว่นตาประจำ เช่น เด็กที่สายตาสั้น ยาว หรือเอียงมาก ๆ เพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจ ซึ่งเป็นภาวะที่ลูกตาอาจมีปัญหาสายตาสั้นยาวหรือเอียง แต่แม้ใส่แว่นตาแล้วก็ยังคงเห็นได้ไม่ชัดมาก เกิดจากการมีภาวะตามัวที่ไม่ได้แก้ไขก่อนอายุ 8-10 ขวบ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติควรใส่แว่นตาเพื่อป้องกันความพิการจากภาวะตาขี้เกียจในอนาคต

การวัดแว่นตาในเด็กควรวัดโดยจักษุแพทย์ ซึ่งจะมีการช้าหยอดตาเพื่อลดการเพ่งของสายตาจะทำให้ได้ค่าสายตาที่แม่นยำ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 12 ขวบ ทุกคนที่มีปัญหาเรื่องสายตา ควรรับการตรวจและวัดสายตากับจักษุแพทย์เท่านั้น ไม่ควรวัดแว่นตาจากร้านแว่นตาที่ไม่มีจักษุแพทย์

ไม่ควรใส่คอน แทคเลนส์เวลานอนหลับ ถึงแม้จะเป็นคอน แทคเลนส์แบบที่ใช้ใส่นอนหลับได้ก็ตามเพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นแผลติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งทำให้ตามัวอย่างถาวรได้ และควรล้างคอน แทคเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอน แทคเลนส์โดยเฉพาะเท่านั้น

อันตรายจากยาหยอดตา

ถ้าซื้อยาหยอดตาเองตามร้านขายยา ต้อระวังเพราะหากท่านได้ยาบางประเภท เช่น ยาสตีรอยต์ ถ้าใช้หยอดตาไม่ถูกวิธีหรือหยอดเป็นเวลานาน อาจทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ตา หรือทำให้เป็นต้อกระจกและต้อหินได้

ยาน้ำหยอดหูบางชนิดที่เขียนให้หยอดตาร่วมด้วยอาจนำมาใช้หยอดตาได้ แต่ถ้าระบุไว้เป็นเฉพาะยาหยอดหู ห้ามนำมาใช้หยอดตา เพราะอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาได้

ขอให้ทุกคนมีสายตาที่ดียืนยาวเคียงคู่ชีวิตและมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ผลไม้ล้างพิษ

จากอาหารที่คุณรับประทานได้

ทราบหรือไม่ ผลไม้สามารถล้างพิษจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก...

- แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ล จะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

-องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไต ทั้งยังให้พลังงานสูง ช่วยบำรุงเลือดและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆในร่างกาย

-สับปะรด มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

-มะละกอ มะม่วง แตงโม มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปน มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาซื้อผลไม้มารับประทานกัน.

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

‘ไข้ออกผื่นในเด็ก’ อีกโรคที่ต้องระวังหน้าฝน!

พบบ่อยในกลุ่มอายุ 1-6 ปี
ช่วงปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวนี้ คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกเล็ก ต่างกังวลถึงสุขภาพลูกกันไม่ใช่น้อย เพราะเป็นช่วงที่ทำให้ลูกเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล รวมไปถึงโรคหัด หรือไข้ออกผื่น เป็นอีกโรคหนึ่งในหน้าฝนพรำ ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้เท่าทันและระวังเอาไว้ เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเกิดลูกมีอาการแทรกซ้อน อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้

กับไข้ชนิดนี้ “พญ.ขวัญเมือง ณ ตะกั่วทุ่ง” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทั่วไปในเด็ก โรงพยาบาลบีเอ็นเอ ให้ความรู้ว่า เด็กที่เป็นไข้ออกผื่น เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ตามอากาศ โดยเฉพาะกลุ่ม Herpes เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหัด หัดกุหลาบ หัดเยอรมัน โรคอีสุกอีใส และโรคมือเท้าปาก

โดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่ภูมิต้านทานยังไม่มากพอเท่าผู้ใหญ่ โอกาสที่จะได้รับเชื้อโรค จึงเกิดได้สูง ส่วนใหญ่จะติดต่อผ่านทางน้ำลาย และลมหายใจ เช่น ของเล่น ของใช้ที่ลูกหยิบจับ หรือสัมผัสเข้าปากได้ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ อาการภูมิแพ้ เช่น แพ้ยา แพ้ฝุ่นละออง ซึ่งอาจทำให้ผิวของลูกมีอาการแพ้ จนเกิดผื่นขึ้นได้เช่นกัน

สำหรับโรคนี้จะพบได้ตลอดปี และพบบ่อยในกลุ่มอายุ 1-6 ปี ถ้าไม่มีภูมิต้านทานจะเป็นได้ทุกเพศทุกวัย โดนจะมีอาการเริ่มคือ มีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะและกลัวแสง อาการต่างๆ จะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้นและจะสูงเต็มที่ เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ 4 ของไข้ ลักษณะผื่นที่ขึ้นจะนูนแดง ติดกันเป็นปื้นๆ

โดยผื่นดังกล่าว จะขึ้นที่หน้า บริเวณชิดขอบผม จากนั้นจะแผ่กระจายไปตามลำตัว เช่น แขน และขา ประมาณ 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ส่วนผื่นมีสีแดงจะเข้มขึ้น เป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง คงอยู่นาน 5-6 วัน กว่าจะจางหายไปหมด กินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุยด้วย ทั้งนี้ควรให้เด็กหยุดเรียน หรือแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กอื่น เป็นเวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์

“ไข้ออกผื่น ทำให้ลูกกินอาหารได้น้อยลง งอแง มีไข้ และเมื่อไข้ลดลง จะมีผื่นปรากฏให้เห็น และอาจมีอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย ระยะต่อมาจะมีผื่นเป็นจุดเล็กๆ สีชมพูออกแดงเหมือนเม็ดทรายกระจายอยู่ทั่วตัว (คนโบราณจึงเรียกว่าหัดกุหลาบ) นอกจากนี้หากใช้มือคลำที่ใบหู มักพบว่า มีต่อมน้ำเหลืองโต หลังใบหู” คุณหมอเผยถึงอาการของโรคไข้ออกผื่น

ด้านวิธีการป้องกัน คุณหมอบอกว่า กลุ่มอาการไข้ออกผื่นบางชนิด เช่น โรคหัด หัดเยอรมัน จะมีวัคซีนป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ สามารถพาลูกน้อยไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันได้ แต่บางชนิดไม่มีวัคซีนป้องกัน ฉะนั้น จึงควรดูแล และป้องกันอย่างเหมาะสม ด้วยวิธีต่อไปนี้

- เมื่อลูกมีไข้ ควรเช็ดตัว

- อาจให้กินยาลดไข้ระหว่างที่มีไข้

- ให้ลูกดื่มน้ำมากๆ หรืออาหารอ่อน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

- หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

- ให้ลูกกินอาหารครบ 5 หมู่ ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก และผลไม้ เพื่อสุขภาพและสร้างภูมิต้านทานให้ลูก

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในเด็กเล็กๆ คุณหมอบอกว่า การดูแลเรื่องไข้ของลูก ต้องอย่าให้ลูกขาดน้ำ เพราะถ้าลูกขาดน้ำ พลังงาน อาการจะหายช้า และเมื่อเพลียมากอาจเกิดอาการชักได้

อย่างไรก็ดี กลุ่มเด็กที่ต้องระวังต่อการเสี่ยงเป็นไข้ออกผื่นมากที่สุด คือ กลุ่มเด็กที่อยู่ในสภาพยากจน อยู่ในชุมชนแออัด มีภาวะทุพโภชนาการ (การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน หรือปริมาณไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งมีทั้งภาวะโภชนาการเกิน และโภชนาการต่ำ) อาจจะมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ง่าย เช่น หูส่วนกลางอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หรือถ่ายเหลวเป็นน้ำ ซึ่งจะทำให้เด็กขาดอาหารรุนแรงขึ้น นอกจากนี้อาจพบสมองอักเสบ โดยพบได้ประมาณ 1 ใน 1 พันราย หากไม่เสียชีวิต อาจทำให้พิการได้

ทั้งนี้ โรคไข้ออกผื่น ไม่มียารักษาเฉพาะทาง วิธีที่ดีที่สุด คือ ให้วัคซีนป้องกัน ที่ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ให้วัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้งฟรี ซึ่งครั้งแรก เมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน โดยให้ในรูปแบบของวัคซีนหัดชนิดเดี่ยว ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียน ป.1 จะให้ในรูปแบบวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ถนอม ‘มือ’ ด้วยสับปะรด

เคล็ดลับมือนุ่มง่าย ๆ

วันนี้ ขอแนะนำเคล็ดลับวิธีดูแลรักษามือแบบง่ายๆ ด้วยสับปะรดมาฝาก...

เริ่มจาก นำสับปะรดมาหั่นประมาณ 4-5 ชิ้น ใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำผึ้งลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้ละเอียดจนกลายเป็นเนื้อครีมเหลว

กรณีไม่มีเครื่องปั่น ให้ใช้ช้อนหรือส้อมยี ผสมน้ำผึ้งคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน

จากนั้นล้างมือให้สะอาด นำครีมสับปะรดมาลูบไล้มือทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ผ้าขนหนูซับจนแห้ง ตบท้ายด้วยโลชั่นที่คุณใช้เป็นประจำ

เพียงวิธีง่ายๆ คุณก็ได้มือที่เนียนนุ่มแล้ว.

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เสริมสร้างสุขภาพดีด้วยหลัก 4 อ.

“สุขภาพดี” ไม่มีซื้อ ไม่มีขาย แต่อยู่ที่ตัวเรา ต้องสร้างสุขภาพที่ดีด้วยตัวเราเอง เราส่องกระจกแต่งหน้าแต่งตัวกันทุกวัน อยากให้ตัวเองดูสวย เท่ หน้าตาดี บุคลิกดี แถมอยากให้คนรอบข้างชื่นชมว่า “ดูดีนะ...สดใส ...อ่อนกว่าวัย” ฟังทีไร ก็ชุ่มชื่นหัวใจทุกที เสมือนเป็นยาชูกำลังขนานดี แต่คำชมทั้งหลายนั้น น่าจะมีพื้นฐานมาจากสุขภาพ ที่ดีนั่นเอง เมื่ออยากมีสุขภาพดีทำไมหลายท่านไม่สร้างสุขภาพของตนเองล่ะ เริ่มต้นได้ไม่ยากเลย

พลเรือตรี นพ.เด่นเดชา ประทุมเพ็ชร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เผยเคล็ดลับการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้ฟังว่า ควรยึดหลัก 4 อ.ดังนี้

มิติด้านอารมณ์/จิตใจ การเป็นคนที่มีอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ เชื่อว่า คนที่สนุกสนาน และการที่หัวเราะในระดับหนึ่งที่เหมาะสมจะทำให้สมองหลั่งสารสุข ซึ่งมีผลทำให้คนมีความสุข ไม่เครียด และสุขภาพดี ทั้งการฝึกฝนปรับตนให้ยอมรับความจริงได้การยึดหลักสายกลางที่เหมาะสม การปลงตก การให้อภัย การฝึกสมาธิ จิตใจที่เข้มแข็งไม่ตามใจปาก ฯลฯ

มิติด้านอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญ ควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะ ถูกหลักโภชนาการ เกิดประโยชน์ และประหยัด เช่นพวกข้าว ก็ควรเลือกข้าวกล้อง พวกข้าวเหนียว ขนมจีนควรหลีกเลี่ยง พวกผักควรเลือกผักสดใบเขียว หลีกเลี่ยงผักกระป๋อง พวกผลไม้ก็เลือกผลไม้สดๆ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง หลีกเลี่ยงผลไม้สุกหวาน เช่น มะม่วงสุก หรือหวานจัด เช่น ลำไย องุ่น พวกทุเรียนควรงดไปเลย

สำหรับพวกเนื้อสัตว์ปกติไม่ควรรับประทานมาก ถ้าจะรับประทานก็ควรเลือกเนื้อปลา ไข่ขาว ควรเลี่ยงเนื้อมันๆ เครื่องในสัตว์ต่างๆ พวกนมควรเลือกนมจืดปราศจากไขมัน หลีกเลี่ยงนมสด นมข้นหวาน พวกเครื่องดื่มดีที่สุดคือน้ำเปล่า หลีกเลี่ยงกาแฟ โดยเฉพาะที่ใส่นม ส่วนน้ำอัดลมควรงด และควรเลือกอาหารที่ต้ม ลวก นึ่ง หลีกเลี่ยงการเผา ปิ้ง ย่าง ทอด พวกแกงต่างๆ ควรเลี่ยงแกงใส่กะทิ อาหารภูมิปัญญาไทยที่ใส่สมุนไพร พวกขิง ข่า ตะไคร้ ใบโหระพา กระชาย ใบมะกรูด ล้วนมีประโยชน์ เช่น ต้มยำ หรือแกงส้ม น้ำพริกผักต่างๆ

มิติการออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยสร้างสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งนอกจากจะได้ผลดีต่อกล้ามเนื้อแล้ว ยังได้ผลดีต่อ หัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย การออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างพอเหมาะก็จะทำให้สมองหลั่งสารสุข ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า โดยออกกำลังกายวันละ 30-60 นาที ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์หรือเสริมด้วยการมีกิจกรรมของร่างกายในชีวิตประจำวัน เช่นการเดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟต์ในที่ทำงานก็จะช่วยได้ดีขึ้น

มิติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม มิตินี้มีความสำคัญ ด้วยการทำให้ทุกๆสิ่งรอบตัวเราเอื้ออำนวย และเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น

- สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ มีการอนุรักษ์ธรรมชาติให้มีความสมดุล เช่น มีต้นไม้ จะให้ความร่มรื่น ผ่อนคลาย แล้วต้นไม้ใหญ่ๆ จะช่วยกำจัดพิษคือดูดคาร์บอนไดออกไซด์แล้วยังคลายอากาศบริสุทธิ์เป็นออกซิเจนอีกด้วย

- มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น มีน้ำสะอาดบริโภคอย่างพอเพียง มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ มีระบบการจราจรที่ดีปลอดภัย มีระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ดี

- ชุมชนน่าอยู่ ผู้คนมีความร่วมมือสามัคคี เคารพในกฎเกณฑ์ มีวินัย ทั้งชุมชนยังปลอดอบายมุข โดยเฉพาะยาเสพติด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา

- มีองค์ความรู้ในชุมชน สนับสนุนผลักดันให้ผู้คนมีอนามัยส่วนบุคคลที่ดี รู้จักการป้องกันโรค มีระบบการเฝ้าระวังโรคการสุขาภิบาลที่ดี

- มีการสนับสนุนงบประมาณ องค์กรและบุคลากรในการดำเนินการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอย่างเพียงพอ


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

10 วิธีดูแลเล็บ - มือ – เท้า

อาหาร-ความสะอาด ช่วยได้

ถ้าพูดถึงแฟชั่นแล้ว ทุกส่วนในร่างกายของเราก็มีสิทธิที่จะอัพเดทแฟชั่นได้เท่า ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นผม ที่ต้องคอยตามเทรนด์สี ทรง หรือจะเป็นร่างกาย ที่มักถวิลหาเสื้อผ้าที่ทันสมัย แบบ สีที่ไม่เอาท์ เท้า ก็ยังต้องการรองเท้าแบบที่ใส่สบาย แต่ไม่ตกเทรนด์ หรือแม้กระทั่งเล็บ ก็ยังต้องการการแต่งแต้มสีสัน เพื่อความสวยงาม

และวันนี้เราก็มี 10 วิธีการดูแลมือ เท้า หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน และเล็บ ที่ไม่ค่อยได้หายใจเมื่อคุณแต่งแต้มสีสันลงไป

1. เราต้องทำความสะอาดมือ เท้า และเล็บ เสียก่อน โดยการใช้แปรงขนนุ่ม กับสบู่อ่อน ๆ ถูเบา ๆ บริเวณมือ เท้า และเล็บ อย่าลืมที่จะถูใต้เล็บด้วยละ เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณที่มีเชื้อโรคเข้าไปสะสมอยู่มากที่สุด หลังจากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

2. ควรตัดเล็บมือเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง ส่วนเล็บเท้า 2-3 สัปดาห์ต่อครั้ง ไม่ควรตัดเล็บจนชิดบริเวณผิวหนังส่วนปลายนิ้วเกินไปเพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นแผลแล้วยังทำให้พื้นที่หน้าเล็บสั้นลงได้ และถ้าตัดชิดขอบลึกลงไปเรื่อยๆ จะดูเหมือนเล็บของคนที่ชอบกัดเล็บซึ่งไม่สวยงาม สำหรับเล็บเท้าควรตัดในแนวตรงเป็นทรงเหลี่ยม ไม่ควรตัดเล็บลงซอกข้างเล็บมากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดเล็บขบได้

3. รับประทานที่มีประโยชน์ตามหลักโภชนาการ เพราะเล็บก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ต้องการสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโตเหมือนกัน ส่วนสารอาหารที่เล็บต้องการ เช่น โปรตีน วิตามินเอ ซี และอี รวมถึงแร่ธาตุสังกะสีที่มีอยู่ในอาหารทะเลและเมล็ดธัญพืช

4. นอกจากสารอาหารแล้ว การทาโลชั่นบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน ยังช่วยป้องกันผิวมือไม่ให้หยาบกระด้าง โดยเฉพาะหลังจากที่มือต้องสัมผัสกับสารเคมีต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน อีกวิธีหนึ่งที่เป็นการป้องกันก็คือ ในช่วงที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีต่าง ๆ ก็ให้สวมถุงมือทุกครั้ง

5. นวดนิ้วมือและเท้าด้วยครีมบำรุงหรือน้ำมันบำรุงผิว ประมาณ 3-5 นาที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณมือและเท้า ควรนวดบริเวณปลายนิ้วและเล็บด้วยเพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมสร้างเล็บที่อยู่บริเวณโคนเล็บ ถ้าไม่สะดวกระหว่างวันสามารถทำได้ในช่วงก่อนเข้านอนแล้วสวมถุงมือผ้าและถุงเท้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมซาบสู่ใต้ผิวของน้ำมันหรือครีมบำรุง หรือจะใช้สครับสำหรับนวดเท้า เพื่อการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบัน สครับสำหรับมือและเท้าก็หาซื้อได้ง่าย และสามารถทำได้เองที่บ้าน เสียเวลาไม่นาน แต่รับรองว่าสบายผิวแน่นอน

6. เนื่องจากธรรมชาติสร้างเล็บให้ออกมาในรูปแบบของแผ่นโปรตีนชนิดแข็ง และให้ทำหน้าที่ปกป้องปลายประสาทที่มีอยู่มากบริเวณปลายสุดของร่างกายไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยในการหยิบจับ และแกะเกา ส่วนหน้าที่งัดแงะของแข็ง หรือว่าใช้เป็นไขควงในการหมุนนั่นหมุนนี่ ผิดวัตถุประสงค์นะคะ อาจจะทำให้เล็บฉีกได้

7. สำหรับสาว ๆ ที่ชอบทาเล็บเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าไม่ยอมให้เล็บได้หายใจเลยแล้วละก็ ฟังทางนี้ ควรทาน้ำยารองพื้นเล็บก่อนทาสี เพื่อป้องกันการเกิดสีที่ไม่พึงประสงค์หลังจากการทาเล็บได้ระยะหนึ่ง และควรทาน้ำยาเคลือบเงาเล็บเพื่อความวาวและติดทนนาน แต่ไม่ควรทาเล็บสีเข้มติดต่อกันนานๆ ควรสลับสีอ่อนบ้าง และควรหยุดพักการทาเล็บเมื่อเห็นว่าสภาพเล็บดูแห้งหรือเกิดสีผิดปกติ

8. ในการเลือกซื้อน้ำยาทาเล็บ ควรคำนึงถึงการเลือกสีให้เหมาะสม ทั้งกับสีผิว โอกาสที่ใช้ สีเสื้อผ้า เครื่องสำอางและบุคลิกของตัวเอง

9. ควรศึกษาอ่านฉลากของผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้ เช่น วันหมดอายุ หรือสังเกตสภาพของผลิตภัณฑ์ว่ายังมีคุณภาพดีหรือไม่ โดยทั่วไปอายุของเครื่องสำอางเล็บอยู่ที่ประมาณ 3 ปี หรือดูจากลักษณะการแยกตัวของสีหากหมดอายุแล้วไม่ควรใช้เด็ดขาด

10. ในส่วนของเท้าก็ต้องการการดูแลเช่นกัน การเลือกรองเท้าให้เหมาะกับรูปร่างเท้าของเราก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาเท้าให้มีสุขภาพดี ซึ่งในการเลือกซื้อรองเท้านั้น เราควรเลือกรองเท้าที่สวมใส่พอดี ไม่คับ หรือหลวมจนเกินไป เพราะการเสียดสีในขณะที่เดินนานๆ จะทำให้ผิวเท้าเกิดหนังที่แข็งด้าน และการใส่รองเท้าที่คับเกินไปบริเวณปลายเท้าอาจเป็นสาเหตุให้เกิดเล็บขบ เวลาที่เหมาะสมในการเลือกซื้อรองเท้าคือช่วงกลางวันที่เท้าได้เดินจนขยายตัวแล้ว และหลังจากที่ใส่รองเท้าส้นสูงมาตลอดทั้งวัน หลังเลิกงาน ลองแช่เท้าในน้ำอุ่นสัก 10-15 นาที จะช่วยผ่อนคลายอาการเมื่อล้าที่เท้าได้ค่ะ

และนี่ก็คือ 10 วิธีการดูแลมือ เท้า และเล็บของคุณ ให้ดูมีสุขภาพดีอยู่ตลอดเวลา…

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อดี-ข้อเสียของท่านอน

นอนตะแคง ทางเลือกสุขภาพดี
ทราบหรือไม่ว่า ท่านอนแต่ละท่ามีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก...

นอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน แต่การนอนหงายในท่าราบสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังนั้น จะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขาหรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัวและบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอนตะแคง ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน

นอนคว่ำ ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำอาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก

อยากสุขภาพดี ‘ท่านอนตะแคง’ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีรักษาผิวไหม้จากแสงแดด

ถุงชา ข้าวโอ๊ต ช่วยได้

ใครที่ต้องตากแดดเป็นเวลานานๆ แล้วเกิดผิวไหม้เกรียม วันนี้มีวิธีรักษามาบอก...

วิธีแรก ใช้ถุงน้ำชาที่ชงดื่มแล้ว ไปแช่ในน้ำเย็นแล้วนำมาวางแปะตามบริเวณที่มีรอยไหม้แดด สามารถใช้ได้กับบริเวณใบหน้า

วิธีที่สอง ใช้น้ำแข็งห่อในผ้าเช็ดหน้าแล้ววางบนรอยไหม้สัก 10 นาที ทำทุก 2-3 ชั่วโมง

วิธีที่สาม เปิดน้ำในอ่างน้ำ ผสมข้าวโอ๊ตลงไปนอนแช่สัก 10 นาที ทำซ้ำเช่นนี้อีกทุกๆ 3 ชั่วโมง

วิธีสุดท้าย ผสมน้ำแข็งก้อนลงในนมพร่องไขมันใช้ผ้าขนหนู จุ่มน้ำนมมาประคบตามผิวที่ไหม้แดดและแสบร้อน ทำต่อเนื่องนาน 2 นาที และทำซ้ำอีกทุก 2 ชั่วโมง

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยรักษารอยแผลไหม้จากแสงแดดได้แล้ว

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

อายุมากดื่มเหล้า ตัวการก่อมะเร็งช่องปาก

แนะบริโภคผัก-ผลไม้ช่วยลดเสี่ยงโรค

สำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญเตือนการดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มเสี่ยงมีโอกาสเป็น "มะเร็งช่องปาก" เพิ่มขึ้นในชายและหญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ล่าสุดตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบคนกลุ่มนี้เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ปาก ลิ้น และลำคอ เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1950 เป็นต้นมา พบว่า คนในวัย 40 ปี ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเท่าตัว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่ปากและลำคอ ใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่ มะเร็งชนิดนี้คร่าชีวิตประชาชนในอังกฤษปีละ 1,800 ราย และพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 5,000 ราย

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็งในช่องปากและลำคอ คือ การรับประทานผักและผลไม้น้อยลง และโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ที่ผ่านทางปาก แต่แพทย์ตรวจพบว่า ร้อยละ 75 ของมะเร็งในช่องปาก มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด แต่สำหรับคนในวัย 40 ปี ดูเหมือนว่าจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้อัตราการเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มขึ้น ได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ทั้งนี้ มะเร็งช่องปากรักษาหายได้หากตรวจพบเนิ่นๆ ปัญหาใหญ่คือคนจำนวนมากยังไม่ตระหนักว่า แอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับมะเร็งชนิดนี้ เพราะส่วนใหญ่เชื่อว่าดื่มเหล้ามากๆ จะเป็นโรคเกี่ยวกับตับ จึงถึงเวลาที่ควรต้องเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีมากกว่าการเป็นมะเร็งตับ

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื่อรา ไขมัน งดปิ้งย่างเผาไหม้จนเกรียม

มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม แบบไหนเรียกว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ต้องติดตาม

สาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างด้วยกัน นอกเหนือจาก 'พันธุกรรม' ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด

"มะเร็งบางชนิดมีการทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส มะเร็งปอดสาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ แต่ยังมีมะเร็งอีกหลายชนิดที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งเหล่านั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เชื่อว่าการที่เรารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อราอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งตับ แต่คนเป็นมะเร็งตับเกิดจากอาหารอย่างเดียวหรือเปล่า...ก็ไม่ใช่" นุชธิดา สมัยสงฆ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับมะเร็งเป็นสาเหตุของกันและกันได้อย่างไร

ปัจจุบัน นักกำหนดอาหาร มีส่วนสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเป็นหนึ่งใน Patient Care Team ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ ดูแลด้านโภชนาการของผู้ป่วย ทำหน้าที่ประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนโภชนบำบัดและให้คำแนะนำถึงรูปแบบการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและสอดคล้องตามสภาวะร่างกาย สภาวะของโรค แผนการรักษา และพฤติกรรมผู้ป่วยแต่ละราย ดูแลความถูกต้องของอาหารที่ผู้ป่วยได้รับขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้ตรงตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ พร้อมประเมินและติดตามผลการโภชนบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้คำแนะนำเวลาผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านให้สามารถเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปได้

การรับประทานอาหารที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนก่อนการรักษา ระหว่างการรักษา และหลังการรักษา จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและดีขึ้น

วิธีการทำงานของ 'นักกำหนดอาหาร' คือ ประเมินน้ำหนัก-ส่วนสูงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่นี่เรามีเครื่องมือวัดไขมันใต้ผิวหนัง วัดปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ซักประวัติการรับประทาน คนไข้มีประวัติน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ การรับประทานอาหารมีภาวะคลื่นไส้อาเจียนหรือไม่ ใช้หลายข้อมูลประกอบกัน บางครั้งคนไข้มีการเจาะเลือดก็จะใช้ผลเลือดมาประกอบด้วย

นุชธิดา สมัยสงฆ์ กล่าวและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลภาวะโภชนาการกับผู้ป่วยมะเร็งว่า "คนไข้มะเร็ง ก่อนผ่าตัดเราต้องดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม เพื่อที่หลังผ่าตัดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลจะได้สั้นลง แผลหายได้เร็วขึ้น ต้องดูว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลหกเดือนคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวหรือเปล่า ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลักษณะการรับประทานได้เหมือนเดิม หรือรับประทานเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ อาหารกลุ่มไหนที่รับประทานเป็นหลัก เช่น ในส่วนของข้าวรับประทานข้าวขาวหรือข้าวกล้อง ปริมาณมากน้อยแค่ไหนในแต่ละมื้อ เนื้อสัตว์ที่รับประทานเป็นเนื้อสัตว์แบบไหน ประเมินอาหารในแต่ละส่วน ก่อนผ่าตัดมีการเจาะเลือด ก็จะดูผลเลือดว่ามีส่วนไหนที่บกพร่อง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเส้นเลือดแค่ไหน ถ้าการผ่าตัดกรณีที่รอได้ เราก็จะปรับภาวะโภชนาการให้อยู่ในระดับที่ดีก่อน"

ในฐานะนักกำหนดอาหาร นุชธิดาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ดังนี้

รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม แหล่งอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคือ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ (ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) ผัก-ผลไม้ควรรับประทานทุกวัน ถ้าเป็นผักสุกมื้อหนึ่งประมาณหนึ่งทัพพี ถ้าเป็นผักสดประมาณหนึ่งถ้วยข้าวต้มอย่างน้อย ถ้ารับประทานได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น สำหรับผลไม้ปริมาณที่เหมาะสมคือกินให้ได้ 2-3 ครั้ง/วัน ถ้าเป็นผลไม้ลูกกลมๆ เช่น แอปเปิล ให้กินหนึ่งผลต่อหนึ่งมื้อ ถ้าเป็นผลไม้ลูกโตๆ เช่น สับปะรด แตงโม มื้อหนึ่งควรกินให้ได้ประมาณ 8 คำ

หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีการเติมสารถนอมอาหารต่างๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน นอกจากดูวันผลิตและวันหมดอายุซึ่งเป็นหลักสำคัญ รองลงไปคือสังเกตด้วยตาเปล่า ถ้ามีเชื้อราเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรรับประทานแล้ว อาหารที่เลยกำหนดวันหมดอายุไปเพียงเล็กน้อยก็อาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเกิดขึ้นได้เช่นกัน
หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหวานจัด

หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ให้ไขมันมากเกินไป อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับไขมันในปริมาณมากเกินไป คือเกิน 30-35% ของพลังงานที่เราได้รับทั้งหมด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันที่มาจากสัตว์ อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง

หลีกเลี่ยงอาหารประเภทปิ้ง-ย่างหรือเผาไหม้จนเกรียม โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ปีกเมื่อเจอกับความร้อนจะเกิดสารออกซิเดชั่น เป็นสารแห่งความเสื่อม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคในกระบวนการความเสื่อมต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าอาหารปิ้ง-ย่างเป็นอันตรายจนกระทั่งกินไม่ได้ ยังสามารถกินได้ใน ปริมาณพอเหมาะ ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ (หรือที่เรียกว่ากินซ้ำซาก) เพราะเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด

นุชธิดา สมัยสงฆ์ ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ผัก-ผลไม้ เป็นสิ่งที่คนไทยกินทุกวัน คนสมัยก่อนถ้าไม่กินผักกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เราไม่กินผัก-ผลไม้ บางคนไม่เคยคิดว่าวันนี้กินผัก-ผลไม้ไปหรือยัง คือกินไปตามความอยาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ามีส่วนประกอบอะไรในอาหารบ้าง เช่น ถ้าเรากินข้าวมันไก่ มีแตงกวาสองสามชิ้น ก็ไม่ใช่ปริมาณที่เพียงพอ ตอนเย็นก็ไปกินพิซซ่า แต่ไม่ตักสลัด ก็ไม่ได้ผักอีก ตอนเช้าดื่มนมแค่กล่องเดียว ก็ไม่มีผัก ถามว่ากินผลไม้หลังอาหารหรือเปล่า...ก็ไม่ เลือกกินเป็นขนม บางคนก็ดื่มน้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้รับน้อยลง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งอันเนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน

นอกจากเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการทำให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าจะกินอาหารอย่างไรเพื่อช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็ง ซึ่งมีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้

เลือกกินอาหารที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้ทุกครั้ง (อาหารที่มีกากใยสูง)

ควรรับประทานผักให้มีความหลากสี (ไม่ควรรับประทานชนิดเดียวซ้ำๆ) เช่น ผักสีขาว ได้แก่ หอมใหญ่ ผักกาดขาว ดอกแค กะหล่ำปลี, ผักสีเขียว ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง, ผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท, ผักสีเหลือง ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง, ผักสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง
หากต้องการโปรตีน ลองหันมากินโปรตีนจากพืช เช่น เห็ด ถั่วเหลือง สลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์

เลือกรับประทาน 'อาหารว่าง' ที่ประกอบจากผักหรือผลไม้ แทนขนมหวาน เช่น ผลไม้สด ผลไม้ลอยแก้ว น้ำส้มคั้นสด น้ำบีทรูท น้ำฟักทอง น้ำแครอท

ใครๆ ก็รู้ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง แต่คนเรามักชะล่าใจ ปล่อยตัวตามใจปากตามใจอยาก อย่างไรก็ตาม 'มะเร็ง' นอกจากต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ยังมีเรื่องของ 'สิ่งแวดล้อม' และ 'ความเครียด' เข้ามาเป็นปัจจัยอีกด้วย

เมนูอาหารต้านมะเร็ง :

1.สไปซี่นัทส์ (Spicy Nuts)

ส่วนผสม: ถั่วบราซิล 140 กรัม ถั่วเฮเซล 115 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 140 กรัม มะม่วงหิมพานต์ 140 กรัม ถั่วพีแคน 110 กรัม น้ำพริกแกงแดง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ สาหร่ายโนริอบแห้ง 1 แผ่น เกลือปรุงรส (เล็กน้อย)

วิธีทำ: ผสมถั่วทั้งหมดลงในโถคลุกอาหาร ตามด้วยน้ำพริกแกงแดง น้ำผึ้ง เกลือ คลุกเคล้าจนเข้ากันดี เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนถั่วเป็นสีเหลืองสวย ทิ้งให้เย็น ม้วนสาหร่ายให้แน่น หั่นตรงกลางความยาว ซ้อนสาหร่ายแล้วหั่นเป็นเส้นๆ (หรือใช้กรรไกรตัดก็ได้) ผสมกับถั่วใส่ไว้ในขวดโหลกันอากาศ เก็บไว้รับประทานเป็นของว่า

คุณค่าอาหาร: ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ ซีลีเนียมและวิตามินอี เส้นใยอาหารสูงในถั่วยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย

2.แซลมอนดิ๊ปอโวคาโด (Salmon dip Avocado)

ส่วนผสม: กระเทียม 1 กลีบ อโวคาโด 1 ผล แซลมอนนึ่งสุก 100 กรัม เต้าหู 125 กรัม มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสดสับ 1/2 ช้อนชา พาร์สลีสดสับ 1 ช้อนชา มะเขือเทศ 1 ลูก ขนมปังโฮลวีต

วิธีทำ: ทุบกระเทียมแล้วบดให้ละเอียด ปอกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องบด ตามด้วยเนื้อปลา เต้าหู มะเขือเทศบด พริกขี้หนู ปั่นให้ละเอียด ตักใส่จาน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับพาร์สลี่ไว้สำหรับตกแต่ง รับประทานกับขนมปังปิ้ง

คุณค่าอาหาร: สารไลโคพีนซึ่งพบมากในมะเขือเทศ เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สารไฟโตเอสโตรเจนจากเต้าหู้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

3.แกงกะหรี่ผัก

ส่วนผสม: กะหล่ำดอก 1/4 หัว บร็อกโคลี 1 หัว บรัซเซลสเปราท์ 8 หัว แอสพารากัส (หรือจะใช้ถั่วแขกก็ได้) 2 ก้าน ฟักทอง 200 กรัม หอมหัวใหญ่ 2 หัว กระเทียม 4 กลีบ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผงแกงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศกระป๋องหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 800 กรัม น้ำซุปผัก 2 ถ้วย มะเขือเทศบดในกระป๋อง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ: ตัดดอกกะหล่ำและบร็อกโคลีเป็นช่อเล็กๆ หั่นครึ่งบรัซเซลสเปราท์ ตัดยอดแอสพารากัสหั่นผ่ากลาง (ถ้าใช้ถั่วแขก เล็มปลายถั่วและหั่นครึ่งตามขวาง) หั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นหอมหัวใหญ่เป็นแว่น ทุบกระเทียม ตั้งน้ำมันในกระทะเพื่อผัดผักทั้งหมด เริ่มจากผัดหัวหอมใหญ่และกระเทียมประมาณห้านาที ใส่ผงกะหรี่ ผัดต่อไปหนึ่งนาทีจนเริ่มหอม ใส่มะเขือเทศ น้ำซุปผัก มะเขือเทศบดและเกลือ ต้มต่อจนเดือด ใส่ฟักทอง ต้มต่อห้านาที ตามด้วยบร็อกโคลี บรัซเซลสเปราท์ แอสพารากัส ต้มต่ออีก 10-15 นาที หรือจนผักนุ่มขึ้น เสิร์ฟร้อนๆ แต่งหน้าด้วยผักชี

คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนเป็นสารมีสีพบในผักสีเข้ม มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม สารไลโคพีนเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, สารอินโดล (พบในบร็อกโคลี) อาจช่วยป้องกันมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก, ไดอัลลิลซัลไฟด์ (มีในหอมหัวใหญ่) ช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่ต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

เคล็ดลับ: การนำผักสดมาปรุงอาหารควรใช้วิธีนึ่ง ผักจะคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่าวิธีการลวก

เครื่องดื่ม Citrus Drink

ส่วนผสม: น้ำส้มเกรฟฟรุตคั้น 1/2 ถ้วย มะละกอหั่นชิ้น 1 ถ้วย น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีทำ: ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วพร้อมดื่ม

คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

วัยรุ่นต้องหยุดคิด ชีวิตที่ก้าวพลาด

เตือนสติเยาวชนไทยห่างไกลแอลกอฮอล์

วัยรุ่นหรือใครที่คิดจะดื่มเหล้าคงต้องหยุดคิด เมื่อมีข้อมูลทางการแพทย์รายงานชัดว่า แอลกอฮอล์ทำให้เกิดอารมณ์ที่เป็นสุขและครื้นเครง เพราะมีฤทธิ์กดประสาทพร้อมกับกระตุ้นให้สมองมีการหลั่งสารแห่งความสุข อาทิ โดปามีน เอ็นโดรฟีน ฯลฯ

แต่การดื่มอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนั้นทำให้สมองเปลี่ยนแปลง และพร่องสารแห่งความสุข เกิดภาวะซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน และเกิดโรคสมองติดยาได้ ในทางวิชาการแอลกอฮอล์ทำให้สมองที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความอยากเปลี่ยนไป อาการที่สำคัญ คือ อยากเหล้าได้ง่าย แต่กลับดื้อต่อสิ่งที่ให้ความสุขใจตามธรรมชาติ ทำให้เป็นคนที่มีความสุขได้ยาก มีแต่แอลกอฮอล์เท่านั้นที่พอจะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขได้

แน่นอนว่ายิ่งผู้ดื่มอายุน้อยเท่าไหร่ โอกาสที่จะเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนติดสุราก็จะมีมาก และเมื่อดื่มอย่างต่อเนื่องยาวนาน สมองจะปรับตัวตื่นตัวมากขึ้น ส่งผลให้นักดื่มต้องดื่มปริมาณที่มาก เพื่อให้ได้สมองหลั่งสารที่เป็นสุขเท่าเดิม เกิดอาการที่เรียกว่า "ดื้อแอลกอฮอล์" ลองมาดูผลกระทบทางด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณแอลกอฮอล์มากจนเกินไป ตั้งแต่ชัก สมองสับสน อาการทางจิตแทรกซ้อน เป็นต้น

นักดื่มรุ่นเยาว์ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นวัยเรียน ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ควรข้องแวะกับน้ำเมาอยู่แล้ว ถ้าดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจะส่งผลต่อการเรียนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ประกอบกับแอลกอฮอล์ยังส่งผลกระทบต่อสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการคิดและตัดสินใจทำงานย่ำแย่ลง ขาดความยับยั้งชั่งใจ กลับกลายเป็นคนที่ใช้อารมณ์มากกว่ายึดเหตุผล และทำในสิ่งที่ผิดพลาด ทั้งทำร้ายตัวเอง ทำร้ายผู้อื่น ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาท ฯลฯ

เหล้าสุราที่เป็นสิ่งเร่งเร้าให้วัยรุ่นกระทำความผิดนั้นเป็นอีกความจริงที่น่ากลัว นอกเหนือจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านร่างกายทำลายไปจนถึงระบบสมอง ความจริงของเยาวชนที่เคยกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองจนต้องถูกจองจำในสถานควบคุม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า "คุกเด็ก" นั้น บนเส้นทางชีวิตของพวกเขาล้วนพัวพันกับอบายมุข เหล้าสุรา นารี การพนัน หลายบทเรียนชีวิตที่พลิกผัน เสียโอกาสในการใช้ชีวิตตามแบบวัยรุ่นทั่วไป มีแอลกอฮอล์เป็นตัวการสำคัญก่อนก่อเหตุหรือกระทำผิด เจาะลึกลงไปครอบครัวของพวกเขาล้วนอยู่ในครอบครัวที่ผุกร่อนอ่อนแอ ขณะเดียวกันสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงมีปัจจัยเร่งเร้าให้เดินในเส้นทางที่ไม่ควรเดินมากขึ้น ขาดที่พึ่งที่คอยชี้แนะด้วยความเข้าใจ

เตชาติ มีชัย หัวหน้าฝ่ายกฎหมายมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ตอกย้ำความจริงนี้ด้วยการเผยผลสำรวจจากการทำงานของมูลนิธิ ซึ่งพบว่า ร้อยละ 70 ของกรณีที่มีปัญหาคุกคามทางเพศ กระทำรุนแรงต่อเด็ก ผู้ที่ก่อเหตุมักจะดื่มสุรามาก่อนลงมือ ที่น่าวิตกกังวลคือกรณีคุกคามทางเพศที่เยาวชนทำกับเยาวชนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของจำนวนธุรกิจร้านเหล้าที่ขยายตัวขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะร้านเหล้าปั่น ขณะเดียวกันร้านรวงต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษา ทำให้เยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย เห็นว่ามาตรการควบคุมร้านเหล้าและเหล้าปั่นรอบสถานศึกษาที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ต้องเร่งผลักดันให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด และหวังว่าคงไม่มีใครอ้างผลกระทบด้านการท่องเที่ยวมาขัดขวางมาตรการเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนอีก

"เติ้ล" เยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ก้าวพลาด และต้องใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้ บอกว่า เคยหลงผิดใช้ชีวิตไปในทางที่พลาดไป ช่วงวัยรุ่นคึกคะนอง อยากรู้ อยากลอง และอยากได้รับการยอมรับจากพรรคพวกเพื่อนฝูง การดื่มเหล้าเป็นวิธีหนึ่งในการเข้าแก๊ง และด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์บวกกับการตัดสินที่ผิดพลาดเพียงเสี้ยวนาที ทำให้ชีวิตต้องเสียโอกาส เสียอนาคต อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับเลือกมาอยู่บ้านกาญจนภิเษก ผ่านการอบรมสั่งสอน ผ่านกระบวนการต่างๆ และได้รับความอบอุ่นจากเจ้าหน้าที่ ทำให้ตนเปลี่ยนแปลงความคิดจากเดิมไปมาก รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

"การกระทำผิดที่ผ่านมาเป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เราทำพลาดไป ยังเหลือเวลาอีกมากมายให้ทำความดี ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ทุกครั้งที่มีโอกาสร่วมกิจกรรมของบ้านหลังนี้ออกไปบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตที่พลาดพลั้งไป ตนจะบอกกับน้องๆ และเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ อย่าริเป็นนักเรียนนักเลง อย่ายุ่งเกี่ยวกับเหล้าบุหรี่ สิ่งเสพติด ส่วนใครที่กำลังทำอยู่ขอให้เลิกโดยเด็ดขาดเพื่อที่จะได้มีโอกาสดีๆ ในชีวิต" นี่คือเสียงจากใจวัยรุ่นผู้เคยกระทำความผิด เยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่ง ณ นาทีนี้เขาตัดใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นอีกแล้ว และอยากให้เยาวชนผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตไปได้ ที่สำคัญตระหนักในคุณค่าของตนเอง เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

5 อาหารต้านรอยย่น

แถมช่วยลดเสี่ยงสารพัดโรคด้วย

รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้

1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า - 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น

2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้

4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน


อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปาก

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ใช้ชีวิตอย่างรู้ค่า แล้วจะพบว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค์


เคล็ดลับสุขภาพดี ตามแบบฉบับ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์


คนเราเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ย่อมอ่อนล้าลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่วัฏจักรนี้ไม่ได้เกิดกับทุกคน วันก่อน Ms. Healthy มีโอกาสพูดคุยกับ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ และก็ต้องแปลกใจ เพราะขนาดท่านอายุตั้ง 81 แล้ว แต่ดูยังสุขภาพดีและยังแข็งแรงยิ่งกว่าคนหนุ่มสาวบางคนเสียอีก ถามไถ่เข้าจริงๆ ถึงได้รู้ว่าแท้จริงคุณชายท่านมีเคล็ดลับตรงที่ “รู้จักใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า”


เรามักพบเห็น ม.ร.ว.ถนัดศรี จากรายการโทรทัศน์ และทุกครั้งก็จะเห็นท่านยิ้มแย้มอย่างมีความสุข คุณชายบอกเคล็ดลับว่า ถ้าเราทำงานที่ชอบก็จะมีความสุข ไม่เครียดและที่สำคัญยังมีแรงบันดาลใจที่จะทำงานนั้นเกินร้อยอีกด้วย


“ทำงานต้องมีเล่น ถ้าไม่เล่นเหมือนเป็นบ้า ถ้าทำงานไม่สนุกเหมือนตุ๊กตา” ใครที่ไม่อยากเครียดจัดจนเป็นบ้า ก็สามารถหยิบยืมเคล็ดลับนี้ไปใช้ได้ เจ้าของเขาไม่หวง!..


จบเรื่องงานมาที่เรื่องอาหารการกินกันบ้าง ใครๆ คงคิดว่าอาหารการกินของ ม.ร.ว.ถนัดศรี ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมานานคงต้องพิถีพิถัน มีระดับตำหรับราชา แต่ว่าผิดคาด เพราะท่านเป็นคนกินง่าย อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นั่นถือเป็นสุดยอดอาหารของคุณชายท่านแล้วค่ะ


“อาหารที่รับประทานไม่จำเป็นต้องราคาแพง ปลาทูทอดวันละตัวก็เพียงพอแล้ว แต่ก็อย่าลืมอาหารจำพวกผัก จะเป็นคะน้าหรือผักบุ้ง ทานให้ได้ทุกวันก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ”


คุณชายย้ำสำหรับผู้สูงอายุด้วยว่า ให้เลี่ยงอาหารพวกเนื้อสัตว์ และที่มีส่วนผสมของกะทิ ให้หันมารับประทานเต้าหู้แทน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องไขมันสะสม และเนื่องจากในวันที่ 16 ตุลาคม เป็นวันอาหารโลก คุณชายเลยถือโอกาสนี้ชักชวนคนไทยใส่ใจเรื่องอาหารการกิน โดยเน้นรับประทานผักให้มากเป็นพิเศษ จะผักต้มหรือผักสด ลองวางคู่กับไขเจียวเคียงกับน้ำพริก ท่านว่ารสชาติเข้ากันดีเยี่ยมเลยทีเดียว


การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณชายให้ความใส่ใจ ท่านสามารถเดินขึ้นตึก 2 ชั้น โดยไม่ใช้ลิฟต์ ได้อย่างสบาย การทำเช่นนี้เป็นประจำจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ลุยงานได้ชนิดไร้ปัญหา แต่สำหรับผู้สูงอายุก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จับราวบันไดให้แน่นๆ เพราะอาจพลาดพลั้งเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และหากพอมีเวลา ก็ลองบริหารกล้ามเนื้อด้วยการนวดดูบ้าง อย่างการนวดเพื่อสุขภาพฉบับไทยๆ ได้ทั้งการพักผ่อนและผ่อนคลายไปในตัว


รู้เคล็ดลับดีๆ อย่างนี้แล้วอย่ารอช้านะค่ะ รีบถนอมสุขภาพเสียตั้งแต่ตอนนี้ ภายภาคหน้าจะได้ไม่มีปัญหาให้ยุ่งยาก Ms. Healthy คนหนึ่งล่ะค่ะ ที่จะขอเอาเคล็ดลับนี้ไปปฏิบัติต่ออย่างแน่นอน คุณล่ะค่ะ พร้อมที่จะมีสุขภาพดีกันหรือยัง...


ขอขอบคุณข้อมูล/ภาพประกอบจาก : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ

แนะดูสี-กลิ่น-วันหมดอายุก่อนทาน

ทราบหรือไม่ว่า ยาแต่ละชนิดจะเสื่อมคุณภาพเมื่อไหร่ วันนี้มีวิธีสังเกตมาฝาก...

- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิม

- ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

- ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป

วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ่งเดือน

ครั้งหน้าถ้าจะรับประทานยา อย่าลืมสังเกตดูวันหมดอายุก่อนรับประทานยากันด้วย

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

สุขภาพเส้นผมกับปัญหา ‘ผมร่วง’

แนะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ช่วยได้

“เส้นผม” เปรียบเสมือนแขนขาของผิวหนัง เส้นผมและขนในแต่ละส่วนของร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน คนเรามีขนหลายชนิด ภาษาไทยเรียกขนบนศีรษะว่า “ผม” แต่ขนที่บริเวณอื่น จะเรียกว่า “ขน” ขณะที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “hair” ทั้งหมด โดยปกติหนังศีรษะของคนเรามีเลือดมาเลี้ยงมาก และทำหน้าที่ควบคุมการกระจายความร้อนของร่างกาย

บนหนังศีรษะมีเส้นผมรวมทั้งสิ้นประมาณ 120,000 เส้น ผมสีบลอนด์จะมีเส้นผมมากกว่าสีอื่น โดยมีประมาณ 140,000 เส้น ผมสีเข้มมีประมาณ 105,000 เส้น ในขณะที่ผมสีแดงจะมีประมาณ 90,000 เส้น นอกจากเส้นผมบนหลังศีรษะแล้ว ทั่วร่างกาย มีขนและผมรวมทั้งสิ้น 5 ล้านเส้น ในร่างกาย ของคนเรา ส่วนที่ไม่มีผมและขนเลย คือ ริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ทั้งนี้พบว่าในแต่ละวัน เส้นผมหลุดร่วงจากหนังศีรษะไม่เกิน 100 เส้น

>> เหตุปัจจัยที่ทำให้ผมร่วง

- อายุ, พันธุกรรม และฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งพบว่าถ้าอายุมากขึ้น การเจริญเติบโตของเส้นผม จะโตช้าลง

- จากฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่เป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศชายที่มีชื่อว่า “แอนโดรเจน” ซึ่งถ้าระดับของฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายมีสูงก็จะส่งผลทำให้ผมร่วง ดังนั้นทั้งเพศหญิงและเพศชายมีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ทั้งสองเพศ

- ภาวะตั้งครรภ์ ในเพศหญิง หรือผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดมาเป็นเวลานานอาจเกิดอาการผมร่วงได้ซึ่งจะหายเป็นปกติหลังเลิกกินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตรประมาณ 4-6 เดือน

- จากยาเคมีบำบัดและโรคภัยไข้เจ็บ ผมร่วงที่เป็นผลจากการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดเป็นสิ่งที่พบเห็นและทราบกันดี แม้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับยาเคมีบำบัดทุกชนิดแต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก นอกจากนี้ ยังมียาอื่นที่ทำให้ผมร่วงได้เหมือนกัน เช่น ยารักษาโรคเก๊าต์ ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต และยาโรคหัวใจบางชนิด การใช้วิตามินเอในขนาดสูงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้มากและมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดยาแล้ว รวมทั้งโรคภัยต่างๆ ที่พบบ่อยในเวชปฏิบัติที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ได้แก่ โรคของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ ภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในผู้หญิงที่เสียเลือดจากการมีประจำเดือนครั้งละมากๆ รวมทั้งโรคเรื้อรังทั้งหลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

>> การป้องกันไม่ให้ผมร่วง

1. เลือกรับประทานอาหารและของที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง

2. ควรนวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อบำรุงรากผมบ้าง

3. ควรทำความสะอาดผมอย่างสม่ำเสมอ

4. ควรใส่ครีมบำรุงผม ทุกครั้งที่สระผม

5. ควรรับประทานแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ไบโอติน หรือ Vitamin H จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งในกลุ่มวิตามิน บี จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย ซึ่งช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิร์ต ผักต่างๆ โดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด และแครอท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

>> การรักษา

1.การรักษาโดยคำนึงถึงสาเหตุหลักและปัญหาเป็นสำคัญ

2.การใช้ยาทา minoxidil เพื่อช่วยเพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่บริเวณรากผมและโคนเส้นผม

3.การใช้ยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนแอน-โดรเจนชื่อ finasteride ซึ่งจากการศึกษาวิจัย พบว่าได้ผลในการรักษาพอสมควร แต่มีข้อควรระวังที่สุดคือยานี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ห้ามใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด แต่ในกรณีที่ผมร่วงเป็นหย่อมๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อรักษาอาการดังกล่าว หรือพิจารณาใช้ยาแอน ทราลินชนิดทา หรือทาร์ชนิดทา ช่วยในการรักษาเพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการผ่าตัดปลูกเส้นผมจริง เพื่อช่วยขจัดปัญหาผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้านได้