วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สกัดน้ำผลไม้ดื่มล้างพิษลำไส้

หนีห่าง มะเร็งร้าย

เมนูเครื่องดื่มที่ นำมาฝากผู้อ่านวันนี้ เป็นเครื่องดื่มสกัดจากผลไม้ 3 ชนิด อันได้แก่ สตรอว์เบอร์รี่ ลูกพีชหรือลูกท้อ และแอปเปิ้ลแดง แถมยังมีน้ำแร่รวมอยู่ในส่วนผสม การันตีว่าดื่มแก้วนี้แล้วจะได้ล้างพิษในลำไส้ แถมยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่

สำหรับ ‘สตรอว์เบอร์รี่’ ผลไม้ขวัญใจสาว ๆ อุดมไปด้วยแคลเซียม คลอรีน โซเดียม กำมะถัน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินซี กรดโฟลิก และไบโอติก เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ล้างพิษให้ร่างกายสะอาด ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการจุกเสียด แน่นท้อง บำรุงเลือดและผิวพรรณ แถมยังบรรเทาอาการไอ ขับปัสสาวะได้ดี

มาที่ ‘ลูกพีช’ เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก เบตาแคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม มักรวมอยู่ที่บริเวณเปลือก ดังนั้น การนำลูกพีชมาทำเป็นเครื่องดื่ม หลังจากล้างจนสะอาดแล้วให้คว้านเพียงเมล็ดออก รับประทานลูกพีชหรือดื่มน้ำจากลูกพีชจะช่วยทำความสะอาดลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่

ส่วน ‘แอปเปิ้ล’ มีเบตาแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กรดมาลิก กรดแทนนิก รวมทั้งเส้นใยเพ็กตินที่มีอยู่มากบริเวณแกนผลแอปเปิ้ล ทำหน้าที่ชะล้างลำไส้เล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและสำไส้ พิษที่ถูกสารอาหารในแอปเปิ้ลชะล้างจะถูกขับออกมาทางกระแสเลือดแล้วจึงปล่อยออกสู่อวัยวะที่มีหน้าที่ขับถ่าย นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และบี6 ช่วยลดความเครียด ล้างพิษในไตและตับ

และ ‘น้ำแร่’ จะมีแร่ธาตุตามธรรมชาติผสมอยู่หลายชนิดแตกต่างกันตามแหล่งน้ำ โดยเกลือซัลเฟตของโซเดียม หรือแมนีเซียม ที่มีอยู่น้ำแร่เป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย เป็นยาระบาย

หากต้องการดื่มให้ร่างกายได้ประโยชน์ ควรเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วนดังต่อไปนี้

สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย

ลูกพีช 1 ถ้วย

แอปเปิ้ลแดง 1 ถ้วย

น้ำแร่ 1 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

วิธีปรุง เริ่มด้วยการทำความสะอาดผลไม้ทั้ง 3 ชนิด จากนั้นให้หั่นสตรอว์เบอร์รี่และลูกพีชเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยแอปเปิ้ลหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำผลไม้ทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ไผลไม้ เติมน้ำแร่ลงไปในน้ำที่สกัดได้ คนให้เข้ากัน เติมน้ำแข็งป่นเล็กน้อยดื่มได้ทันที

ปรุงดื่มสม่ำเสมอ รับรองลำไส้ของคุณจะไม่ใช่ที่โปรดปรานของมะเร็งร้าย



วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ยืดเหยียดเยี่ยงฤๅษี

บรรเทาปวดเสียดท้องหรือระหว่างลิ้นปี่และสะดือ

วันนี้มีเคล็ดไม่ลับของการยืดเหยียดที่ดัดแปลงมาจากท่าฤๅษีดัดตนตามตำรับการนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อย โดยท่าทางที่จะนำมาแนะนำนี้สามารถช่วยลดอาการปวดเสียดช่วงท้อง หรือระหว่างลิ้นปี่และสะดือ

ปรับท่าทางก่อนยืดเหยียด เพียงนั่งคุกเข่า ให้เท้าราบติดกับพื้น ลำตัวยืดตรง และประสานมือในลักษณะนิ้วทั้ง 10 เสียบสับหว่างเข้าหากันไว้ที่บริเวณหน้าอก

จากนั้นถึงขั้นตอนการบริหาร เริ่มจากการหายใจเข้าช้า ๆ พร้อมกับการพลิกฝ่ามือไปข้างหน้าและยืดแขนออกไปให้ตรง

ต่อเนื่องด้วยการหายใจออกและยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ โน้มแขนไปด้านหลังให้มากที่สุด แล้วกลั้นลมหายใจนับ 1-10 และผ่อนกลับท่าเตรียม โดยทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน 3-4 ครั้ง อาการปวดท้องจะทุเลาลง

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุขภาพดีไม่มีโรคมารบกวน

ใครที่อยากมีสุขภาพดี ไม่ป่วยง่าย ๆ วันนี้มีวิธีปฏิบัติตัวให้ห่างไกลจากโรคมาบอก...

- อาหาร

รับประทานอาหารที่ให้สารอาหารที่จำเป็นแก่ร่างกาย ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ น้ำ และยังมีสารที่พืชสร้างขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้ การกินอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายอย่างสมดุล สะอาด ปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันโรคจากการกิน

- การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายสม่ำเสมอมีประโยชน์ ทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดี กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นและทนทานไม่เหนื่อยง่าย รักษาน้ำหนักตัวได้ดี

- การผ่อนคลาย

พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ฝึกจิตให้ผ่อนคลายมองโลกในแง่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญมาก เพราะความเครียดเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ มากมาย สุขภาพจิตที่ดีจึงนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีเสมอ

- หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษต่าง ๆ

งดสิ่งเสพติด บุหรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลพิษ เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำลายสุขภาพ

เพียงเท่านี้ ก็จะมีสุขภาพดีไม่มีโรคมารบกวนอีกต่อไป...

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ร้อนหรือเย็น เลือกอาบอย่างไรดี ?

ผ่อนคลาย บำบัดเครียด ด้วยการอาบน้ำ

อาบน้ำ เป็นกิจวัตรที่แสนจะผูกพันกับผู้คนมาตั้งแต่เกิด หลายคนอาจจะให้เวลากับการอาบน้ำนานนับชั่วโมง ขณะที่บางคนใช้เวลาเพียงแค่วิ่งผ่านน้ำ ไม่ว่าจะอย่างไร หลังอาบน้ำ ทุกคนก็จะได้ความสะอาดฉ่ำชื่นกันทุกที

นอกจากวัตถุประสงค์เพื่อชำระล้างคราบไคลจากร่างกายแล้ว ปัจจุบันมีคนนำการอาบน้ำเข้ามาเป็นการผ่อนคลาย บำบัดเครียด ช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าได้ โดยจะใช้เป็นฝักบัว หรือแช่อ่างก็ไม่ต่างกัน เพราะสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่อุปกรณ์ แต่อยู่ที่ "อุณหภูมิ" ของน้ำ ที่ความร้อน-เย็นล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น

"น้ำร้อน" สำหรับการอาบน้ำนั้น อุณหภูมิจะอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงเหมาะกับใช้กระตุ้นอาการขี้เกียจ แต่ไม่ควรจะอาบนานเกินไป เพราะหลอดเลือดขยายตัวจนทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว ร้ายไปกว่านั้น อาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา ซึมเซา ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้มีความดันผิดปกติ

ถ้าเป็น "น้ำอุ่น" อุณหภูมิจะอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส ระดับนี้จะช่วยกระตุ้นประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกาย จิตใจสบาย ลดเครียด ลดไข้ได้ "น้ำเย็น" อุณหภูมิจะ ต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส ความเย็นจะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ ระหว่างอาบน้ำถ้าใช้มือตบเบาๆ ไปทั่วร่างกาย จะช่วยกระตุ้นผิวและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้

วิธีการอาบน้ำนั้น ให้เริ่มไล่จากปลายเท้าไปถึงกลางลำตัว เพื่อปรับอุณหภูมิ แล้วจึงเริ่มอาบน้ำ ถ้าใช้ฝักบัว ควรเปิด น้ำแรง ๆ แล้วฉีดไปทั่วตัวช่วยในการผ่อนคลาย

ส่วนการแช่น้ำอุ่นนั้น ควรแช่ราว 10 นาที แล้วค่อยลุกขึ้นมาขัดตัว อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน แล้ว ลงไป แช่ใหม่อีกครั้ง จะช่วย ยืดเส้นสายในร่างกาย สบายตัว ผิวสวย ลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอดช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดไขมันได้ แต่อย่าใช้น้ำที่ร้อนเกินไป และอย่าแช่นานเกินไป อาจทำให้ผิวเปื่อยลอกได้

ส่วนเวลาอาบน้ำที่ดีที่สุดนั้น ถ้าออกกำลังกาย ก็หลังไปแล้วไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง และไม่ควรจะอาบน้ำหลังรับประทานอาหารทันที เพราะอาจทำให้อาหารไม่ย่อย ทางที่ดี ควรอาบก่อน หรือหลังอาหารไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง

นี่แหละศิลปะของการอาบน้ำ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์

เน้นผักและปลา เพราะย่อยง่าย

ใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ วันนี้คงสำราญ เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว วันนี้ยังมีเทคนิคกินบุฟเฟ่ต์อย่างไรให้ได้ประโยชน์มาบอกด้วย

- กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง และหันมากินเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แถมยังปราศจากไขมันและไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

- กินอาหารที่ต้มหรือลวก และพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชา

- สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่

- เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะ นอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อน ทำให้เนื้อไม่สุกดี

- อย่ารีบกินจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยย่อยอาหาร

- ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้น ๆ ด้วยวิธีเบา ๆ เช่น ค่อย ๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกินอาหารแล้ว ห้ามล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ อื่น ๆ ก่อน

- รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ รับรองอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุขภาพ “ตา” ดูแลด้วยตนเอง

แนะผู้สูงอายุตรวจตาปีละครั้ง
ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากของมนุษย์ เป็นประตูเปิดทางติดต่อสื่อสารกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับความบันเทิง การท่องเที่ยว รวมถึงการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ ดังนั้นความรู้สำหรับดูแลสุขภาพดวงตาของเราในกรณีต่าง ๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง

เด็ก

เด็กแม้ยังตัวเล็ก ก็อาจมีปัญหาทางตาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้ เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง เป็นต้น กรณีต่าง ๆ ต่อไปนี้ อาจต้องสงสัยว่าเด็กจะมีปัญหาเรื่องการมองเห็น ควรพาไปพบจักษุแพทย์ เช่น

1. กลางรูม่านตามีสีเขียว อาจเป็นโรคต้อกระจกหรือโรคตาอื่น ๆ

2. เด็กมีกระจกตาโตผิดปกติ หรือขนาดทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นโรคต้อหินในเด็กได้

3. เด็กอายุ 2-3 เดือนขึ้นไป ยังไม่มองหน้าแม่หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น

4. เด็กในวัยเข้าเรียนที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติ เอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบตาบ่อย อาจมีปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสาเหตุอื่น

ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ

หลายคนที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ จะมีปัญหาเรื่องปวดเมื่อยล้าตา หรือแสบเคืองตาจากอาการตาแห้งได้ดังนั้น

1. ควรพักสายตาโดยทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมองใกล้ (1-2 ฟุต) ประมาณ 5-10 นาทีต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาบ้าง จะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาได้

2. ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมากเพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์ เช่นไม่ควรตรงกับหน้าต่าง

3. ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าง่าย

4. ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้

5. อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตาก็ได้ที่ทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาจะช่วยแก้ปัญหาได้

ผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป

จะเริ่มมีปัญหาเวลาอ่านหนังสือ จะปวดเมื่อยล้าตาง่าย เมื่อใช้สายตามองที่ใกล้นาน ๆ ดังนั้น อาจต้องใส่แว่นตาช่วยเวลามองใกล้ ซึ่งถ้าสายตาเท่ากัน 2 ข้าง อาจใช้แว่นตาสำเร็จรูปที่มีขายตามตลาดนัดได้ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องปรึกษาร้านแว่นตาหรือจักษุแพทย์

การตรวจสุขภาพตา

1. สังเกตลูกของเราด้วยตัวเราเอง ถ้าสงสัยควรพาไปพบจักษุแพทย์

2. การตรวจวัดระดับการมองเห็น เด็กวัยเรียนอาจจะตรวจในโรงเรียน เช่น Snellen chart ได้

3. ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจหาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้

4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่พบว่าเป็นเบาหวาน ยกเว้นในผู้ที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อย 30 ปี ถ้าไม่มีตามัวลงผิดปกติ อาจรอ 5 ปี ค่อยเริ่มตรวจเป็นประจำปีละครั้งก็ได้

ถ้าจักษุแพทย์พบมีเบาหวานขึ้นตา การยิงเลเซอร์ที่จอประสาทตาอาจจะช่วยให้ในระยะยาวมีสายตาที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ยิงเลเซอร์ แต่ไม่ได้ทำให้สายตาเห็นชัดขึ้น ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และไขมันในเลือดให้อยู่ระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี

อาหารกับดวงตา

การกินอาหารให้ครบ 4 หมู่อย่างเพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยให้สุขภาพทั้งร่างกายและสายตาอยู่ในเกณฑ์ดีด้วยส่วนหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมใด ๆ เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างเพียงพอและพอเพียงตามพระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย

อุบัติเหตุกับดวงตา

การป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น

1. คาดเข็มขัดนิรภัยเวลาขับรถ ไม่ขับรถเวลาเมาหรือง่วงนอน เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ใบหน้าอาจกระแทกกับกระจกหน้ารถทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้างได้

2. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ลม ฝุ่น ด้วยการใส่แว่นกันแดดกันลมบ้าง

3. ใส่แว่นตาป้องกันเวลาทำงานที่อาจมีวัตถุแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น การตอกตะปู การใช้รถตัดหญ้า การเจียเหล็ก เป็นต้น

4. ใช่แว่นตาป้องกันแสงรังสีขณะเชื่อมเหล็ก จะช่วยป้องกันกระจกตาอักเสบจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้

5. เด็กควรระวังการเล่นกับไก่หรือนกที่อาจจิกกระจกตาแตกได้ รวมทั้งการเล่นกับสุนัข อาจถูกสุนัขกับบริเวณเลือกตาและท่อน้ำตาขาดได้

6. ถ้ามีน้ำยาหรือสารเคมีเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดใกล้ตัว เช่นน้ำประปาเพื่อลดประมาณสารเคมีในตาลงบ้างจะช่วยลดความรุนแรงได้ดีขึ้น

แว่นตา และคอนแทคเลนส์

ผู้ที่มีสายตาผิดปกติแล้วต้องใส่แว่นตานั้น โดยทั่วไปจะใส่หรือไม่ใสเวลาใดก็ได้แล้วแต่การใช้งานของเราว่าจำเป็นต้องเห็นชัดหรือไม่

การใส่แว่นตาเป็นประจำไม่ได้ทำให้สายตาดีขึ้นหรือยิ่งผิดปกติมากขึ้น เพราะสายตาจะเปลี่ยนไปเองในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์แว่นตาให้ตรงกับสายตาที่เปลี่ยนไป จะได้เห็นชัด ซึ่งคนสายตาปกตายตาอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นมาก สายตาก็จะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นบ่อยกว่าคนทั่วไป

ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าแว่นตาเริ่มไม่ชัดเหมือนตอกเริ่มตัดแว่น ควรไปวัดแว่นเพื่อเปลี่ยนแว่นให้เหมาะกับสายตา สำหรับในเด็กควรได้รับการตรวจสายตาซ้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

เด็กบางคนเท่านั้นที่ต้องเน้นว่าให้ใส่แว่นตาประจำ เช่น เด็กที่สายตาสั้น ยาว หรือเอียงมาก ๆ เพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจ ซึ่งเป็นภาวะที่ลูกตาอาจมีปัญหาสายตาสั้นยาวหรือเอียง แต่แม้ใส่แว่นตาแล้วก็ยังคงเห็นได้ไม่ชัดมาก เกิดจากการมีภาวะตามัวที่ไม่ได้แก้ไขก่อนอายุ 8-10 ขวบ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติควรใส่แว่นตาเพื่อป้องกันความพิการจากภาวะตาขี้เกียจในอนาคต

การวัดแว่นตาในเด็กควรวัดโดยจักษุแพทย์ ซึ่งจะมีการช้าหยอดตาเพื่อลดการเพ่งของสายตาจะทำให้ได้ค่าสายตาที่แม่นยำ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 12 ขวบ ทุกคนที่มีปัญหาเรื่องสายตา ควรรับการตรวจและวัดสายตากับจักษุแพทย์เท่านั้น ไม่ควรวัดแว่นตาจากร้านแว่นตาที่ไม่มีจักษุแพทย์

ไม่ควรใส่คอน แทคเลนส์เวลานอนหลับ ถึงแม้จะเป็นคอน แทคเลนส์แบบที่ใช้ใส่นอนหลับได้ก็ตามเพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นแผลติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งทำให้ตามัวอย่างถาวรได้ และควรล้างคอน แทคเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอน แทคเลนส์โดยเฉพาะเท่านั้น

อันตรายจากยาหยอดตา

ถ้าซื้อยาหยอดตาเองตามร้านขายยา ต้อระวังเพราะหากท่านได้ยาบางประเภท เช่น ยาสตีรอยต์ ถ้าใช้หยอดตาไม่ถูกวิธีหรือหยอดเป็นเวลานาน อาจทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ตา หรือทำให้เป็นต้อกระจกและต้อหินได้

ยาน้ำหยอดหูบางชนิดที่เขียนให้หยอดตาร่วมด้วยอาจนำมาใช้หยอดตาได้ แต่ถ้าระบุไว้เป็นเฉพาะยาหยอดหู ห้ามนำมาใช้หยอดตา เพราะอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาได้

ขอให้ทุกคนมีสายตาที่ดียืนยาวเคียงคู่ชีวิตและมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ผลไม้ล้างพิษ

จากอาหารที่คุณรับประทานได้

ทราบหรือไม่ ผลไม้สามารถล้างพิษจากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก...

- แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ล จะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

-องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไต ทั้งยังให้พลังงานสูง ช่วยบำรุงเลือดและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆในร่างกาย

-สับปะรด มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

-มะละกอ มะม่วง แตงโม มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อ ปาเปน มีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาซื้อผลไม้มารับประทานกัน.