วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข้อเสียของการดื่มน้ำเย็นจัด

ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำเย็นจัด สามารถส่งผลเสียให้กับร่างกาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

การดื่มน้ำเย็นจัด จะส่งผลทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารหดตัวลง ทำให้เซลล์ต้องทำงานหนักขึ้น จึงมักจะเกิดอาการจุกหน้าอก

การดื่มน้ำ ควร ดื่ม 8-10 แก้วต่อวัน เพราะน้ำช่วยหล่อลื่นให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ระบบขับถ่ายดี ผิวพรรณสดใส แต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่อุณหภูมิเดียวกับอุณหภูมิห้อง

ถ้ามีสุขภาพดี ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นจัดจะเป็นการดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

5 เคล็ดลับสวยใสไร้สิวแบบชีวจิต

เกร็ดสุขภาพฉบับนี้เรามี 5 เคล็ดลับดีๆ กับการรักษาสิวด้วยตัวคุณเองในแบบชีวจิตมาฝากกันค่ะ

1. ปรับอาหารการกินด้วยสูตรชีวจิต ให้ถูกต้อง
ไม่ควร รับประทานแป้งข้าวและของหวานที่ทำจากน้ำตาลทรายขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช็อกโกแลต รวมทั้งอาหารประเภทมันๆ และของ ทอดทั้งหลาย
ควร หันมารับประทานผักและผลไม้ให้มาก เพราะมีวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ เพื่อช่วยปรับ สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท อาหารทะเล เป็น ต้น เพื่อช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว นอกจากนี้ยังทำให้แผลเป็นหายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่แทนเซลล์ผิวหนังที่เสีย ไป

2. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ค่ะ

3. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย

4. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย

5. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

6 พิษอันตรายของผงชูรส

เคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวบ้างหรือไม่ อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม
โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส

นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้

1. ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้

2. ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้

3. ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

4. ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน

5. ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

6. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ค่ะ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

‘วิตามินดี’ มีมากกว่าในแดด

"แสงแดด” คือที่มาของ “วิตามินดี” เริ่มใช้ไม่ได้ในสังคมเมือง ผู้คนตื่นก่อนอาทิตย์ขึ้น และกลับบ้านมืด ลองหาแหล่งอาหารสร้างวิตามินดีที่ใกล้ตัว

ลองตอบคำถามข้างล่างดูก่อนว่า คุณเลือกกินวิตามินเพราะอะไร?

- กินวิตามิน ก็ต่อเมื่อร่างกายขาด ถ้าไม่ขาด ก็ไม่จำเป็น

- กินเพราะไม่รู้ว่าอาหารที่กินทุกวันให้วิตามินครบถ้วนหรือไม่

- กินเพราะต้องการวิตามินรักษาโรค เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยาเคมี

- กินเพราะต้องการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ และเพื่อป้องกันความชรา

คำตอบ ...ถูกต้องทุกข้อ

แม้เราไม่จำเป็นต้องกินวิตามินจนเกินความต้องการของร่างกาย แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะกินวิตามินให้ครบทุกชนิดเพื่อทำให้ร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ ขณะเดียวกันเราไม่อาจปฏิเสธข้อดีของวิตามินในการช่วยรักษาโรคและเป็นยาอายุวัฒนะได้ ใช่ว่าเห็นอรรถประโยชน์มากมายแล้ว จะอัดวิตามินลงท้องจนพุงกางอย่างไม่มีสติ แต่เราต้องกลับมานั่งวิเคราะห์ต่อว่า เรามีความรู้เรื่องวิตามินเพียงพอแล้วหรือไม่?

กระแสฮิตวิตามินเริ่มนิยมตั้งแต่ 20 ปีก่อน ผู้บริโภคที่รักสุขภาพทั้งหลายหันมาสนับสนุนวิตามินรวม เพราะไม่รู้ว่าตนเองขาดวิตามินตัวไหน จึงตัดปัญหาขี้สงสัยด้วยวิธี “เหมาหมด” อีกทั้ง ยังเชื่อมั่นว่าวิตามินรวมจะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม รวมทั้งช่วยลดจำนวนวันที่เจ็บป่วยและบรรเทาอาการปวดได้

แล้วอาหารที่เรารับประทานตามปกตินั้นได้รับวิตามินเพียงพอแล้วหรือ?

นายแพทย์พัฒนา เต็งอำนวย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามิน และแพทย์ประจำเมดิคัลสปา เผยว่าผู้รักสุขภาพหาทางออกด้วยการบริโภควิตามินสำเร็จรูป ซึ่งอัตราส่วนของวิตามินแต่ละตัวนั้นกำหนดให้เหมาะสมกับร่างกายของทุกคน

สำหรับคนที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบก็จะตั้งคำถามต่อว่า เรายังขาดวิตามินตัวใดอีกบ้าง

จากผลการสำรวจการขาดวิตามินในผู้หญิงไทยที่อาศัยอยู่นอกเมืองในขอนแก่น มีอัตราขาดวิตามินดีอยู่ระหว่าง 34.9 - 65.1% แม้พวกเขามีโอกาสได้รับวิตามินดีจากแสงแดดมากกว่าอยู่ในเมืองก็ตาม จึงน่าจะอนุมานว่าผู้หญิงในเมืองย่อมขาดวิตามินดีไม่มากก็น้อย

แม้ว่าแหล่งวิตามินคือ แสงแดด การควบคุมน้ำหนัก และสารอาหารประกอบอื่นๆ จะหาได้ง่ายและมีให้เสพได้ชั่วอายุขัย แต่ปัจจุบันเรามีความเสี่ยงมากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น ร่างกายสร้างวิตามินดีน้อยลง รวมถึงอาการผิดปกติของตับและไต ย่อมสะท้อนว่าร่างกายขาดวิตามินดีแล้ว

เมื่อศึกษาเพิ่มขึ้น ความน่าสนใจของวิตามินดีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เนื่องจากมันเป็นวิตามินหลักในการเพิ่มแคลเซียม ช่วยต่อต้านมะเร็ง ลดความดันโลหิต ทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น รวมทั้งสามารถเพิ่มอินซูลินในร่างกาย วิตามินดีจึงไม่ใช่เรื่องของกระดูกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ Anti-aging ด้วย เมื่อรู้ข้อดี ก็ต้องบริโภคให้พอดีด้วย จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด

อัตราการบริโภควิตามินดีที่เหมาะสมที่สุด คือ น้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร หากรับประทานวิตามินรวม ควรบริโภควิตามินให้ได้ 400 - 800 IU หรือวิตามินดี 2 ซึ่งได้จากพืชในปริมาณหนึ่งแคปซูล 3 ครั้งต่อสัปดาห์

นอกจากนั้น เรายังสามารถหาแหล่งวิตามินดีได้จาก ปลาแซลมอน และ เห็ดหอม ด้วย

ปลาแซลมอนที่ดี ต้นตำรับจากประเทศนอร์เวย์เนื้อแน่นนุ่มสีส้มอ่อน ทั้งแซลมอนสดและรมควัน มักเอามาทำการหมัก ส่วนมากจะเอามาทานกับขนมปังหรือมันฝรั่ง และอื่นๆ มีคุณค่าทางอาหารมากมาย

นอกจากวิตามินดีและโปรตีนแล้วยังมีสารสำคัญคือ กรดไขมันจำเป็นชนิด “โอไมก้า 3” ซึ่งจะช่วยในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นสูง ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น จึงช่วยลดอัตราการเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ

“DHA” ยังช่วยทำให้เซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำมีขนาดใหญ่ขึ้น บรรเทาอาการปวด บวม อักเสบ ในผู้ป่วยโรคไขข้อรูมาตอยด์

เห็ดหอม คุณสมบัติเลิศที่สามารถนำมากินได้นั้น มีทั้งเห็ดหอมสดและเห็ดหอมแห้ง หากเป็นเห็ดหอมแห้งจะต้องนำมาแช่น้ำก่อนปรุงอาหาร เช่นเห็ดหอมผัดน้ำมันหอย เห็ดหอมตุ๋น โจ๊กเห็ดหอม ตลอดจนใช้เป็นวัตถุดิบในข้าวผัด และผัดผัก เป็นต้น

นอกจากเห็ดหอมจะให้สรรพคุณทางยา เป็นอายุวัฒนะ รักษาหวัดทำให้เลือดลมดี รักษาโรคหัวใจ ป้องกันโรคเลือดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แถมยังมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดีแล้ว

เห็ดหอมมีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ ในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก และป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข้อห้ามเมื่อเข้านอน

การนอนคือการพักผ่อน หลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวัน แล้วนอนอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ วันนี้เกร็ดความรู้มีข้อห้ามทำก่อนนอนมาบอกกัน เพื่อสุขภาพที่ดี...

- อย่าใส่นาฬิกาข้อมือนอน เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อย ๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงาน ถ้าใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาว

- ไม่ควรนอนหลับไปพร้อม ๆ กับโทรศัพท์ หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ ๆ ใครที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือไว้ห่าง ๆ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาท เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

- อย่าหลับไปพร้อมกับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้ายังไง ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้ง ๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้า จะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว

- (สำหรับสาว ๆ เท่านั้น) อย่าใส่ยกทรงนอน เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน พบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย

รู้ข้อห้ามแล้ว ก็ลองปฏิบัติกันดู เพื่อการนอนที่ดี.

หลัก 6 ประการที่ทำให้คุณฟิต และหลีกโรคอ้วนในที่ทำงาน

เป็นที่น่าตกใจว่า ปัจจุบัน โรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวกับการกิน ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาวะสุขภาพหลักของคนไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัฒนธรรมการกิน การอยู่ และการทำงานที่เปลี่ยน ทำให้คุณอ้วน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่คุณจะเอาชนะมันได้เสมอ ลองมาดูเคล็ดเล็กๆ 6 ประการ

คุณไม่จำเป็นต้องหาแรงจูงใจขนาดต้องไปซื้อคอร์สฟิตเนสหรอก แค่อยู่ในที่ทำงาน ก็สามารถฟิตได้แล้ว
  1. บันได คือเพื่อนแท้ของคุณ นึกถึงตลอด เมื่อคุณมีทางเลือกขึ้นบันใดดีกว่า ยิ่งเดินมาก ยิ่งฟิต ยิ่งใช้พลังงาน ยิ่งผอม
  2. ออกไปข้างนอก เดินช๊อปกับเพื่อน เดินกับแฟน เดินกับลูกเวลาว่างที่มี เดินเข้าไป
  3. จอดรถให้ไกลกว่าเดิม หรือคนละชั้นกับที่ทำงาน นึกเสียว่า เป็นแรงจูงใจให้เดิน หรือไม่งั้นก็คือ ขึ้นรถไฟฟ้า หรือแท็กซี่ และเดินให้ไกลกว่าปกติ
  4. มีรองเท้าวิ่ง หรืออย่างน้อยรองเท้ารัดที่ใส่สบาย เผื่อเวลาจำเป็นงัดมันออกมาเดินหรือวิ่ง
  5. เครื่องออกกำลังกายเล็กๆเช่น step หรือ เชือกกระโดด อาจช่วยให้คุณฟิตเสมอในช่วงเลิกงานรอกลับบ้าน
  6. จำไว้ ออกกำลังกายทีละนิด ดีกว่าไม่ออกเลย กล้ามเนื้อคุณต้องการการฝึกทุกวัน ไม่ต้องออกหนักมาก คุณก็ฟิตได้

ดูแลผมสวยด้วยความลับจากธรรมชาติ

ไข่ มะนาว ขิง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ช่วยได้

การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่รักสวยรักงาม วันนี้ Tips สุขภาพ มีวิธีดูแลผม เสน่ห์อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามมาฝากกันคะ

เริ่มต้นที่คนที่มีปัญหาเรื่อง ผมแห้ง ซึ่งคนที่มีผมแห้งมักจะมีปัญหาเรื่องการหวีจัดทรงยาก ผมไม่มีสปริงไม่มีน้ำหนักขาดชีวิตชีวา ทำให้หนังศีรษะแห้งและเกิดสะเก็ดรังแคง่าย ลองใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับไข่ไก่ดูสิค่ะ วิธีการทำเพียงใช้น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะตั้งไฟอ่อนผสมกับไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่แดง) ตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นให้รอจนเย็นแล้วนำไปลูบให้ทั่วศีรษะ นวดด้วยปลายนิ้วให้ทั่วทั้งด้านหน้าจรดท้ายทอย โดยใช้ฝ่ามือขยำๆ ขยี้ๆ ให้ทั่วเพื่อให้ซึมเข้าสู่เส้นผม หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วสระด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจะนุ่มดูมีน้ำหนักและจัดทรงง่ายขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นของไข่ไก่ให้ลองใช้สูตรน้ำมันมะกอกดูก็ได้ค่ะ เพียงนำน้ำมันมะกอกอุ่นๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมานวดหนังศีรษะหวีและชโลมเส้นผมให้ทั่ว ซึ่งวิธีการนวดให้นวดเป็นวงกลมเล็กๆ เมื่อนวดจนทั่วศีรษะแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูพันศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นให้สระด้วยแชมพูอ่อนๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสภาพดีได้เหมือนกันค่ะ

ต่อมาสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับ รังแคบนศีรษะ เพราะเมื่อไรที่รังแคมาเยือนมักจะมีอาการคันตามมาเสมอ แถมยังสร้างความอับอายขายหน้าด้วยการออกมาโชว์ให้เห็นกันอยู่เสมอๆ ลองใช้สูตรน้ำมะนาว หรือ น้ำมะกรูด กันดูสิคะ วิธีการไม่ยากค่ะเพียงคั้นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดที่ผ่านการเผาไฟแล้ว มานวดหนังศีรษะหลังสระผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ให้ล้างออก เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยลดเจ้ารังแคออกจากศีรษะได้แล้วละคะ

สำหรับคนที่มีผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายลองใช้ ขิง แก้ผมร่วงดูสิคะ เชื่อได้เลยว่าใช้แล้วปัญหา หัวล้าน จะไม่มาเยือนคุณแน่นอน วิธีการง่ายๆ เพียงนำเหง้าขิงสดมาเผาไฟ ทุบให้แตกผสมน้ำนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือนำขิงแก่ 1 เหง้า ขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบางเป็นลูกประคบ วางบนหม้อประคบที่ต้มน้ำจนเดือด เมื่อลูกประคบร้อนนำไปประคบบริเวณผมร่วง ทำวันละ 2 ครั้ง 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล

ส่วนคนที่มีเส้นผมหยิกหยักศกที่สำคัญยังพบอาการแห้งและฟู ยิ่งถ้าทั้งหยิกและหนาด้วยแล้วล่ะก็จะทำให้ศีรษะดูโต ฟูมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ายังชอบผมทรงนี้อยู่ไม่อยากที่จะยืดให้ตรงแล้วละก็หมั่นบำรุงดูแลรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้สิคะ นำน้ำกับน้ำมะนาวผสมกันให้เจือจางหลังจากนั้นนำมาชโลมผมหลังจากล้างผมน้ำสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบ-หวีง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ผมดูเงางามได้ค่ะ

ผมมันก็เป็นผมอีกแบบที่มักสร้างปัญหาตามมามากมายทั้งเป็นสะเก็ดรังแค หนังศีรษะคันง่าย การรักษาความสะอาดของเส้นผมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้ แต่ทางที่ดีต้องบำรุงรักษาด้วยไข่ขาวผสมน้ำอุ่นดูสิคะ รับรองอาการมันจะลดลงและหมดไปในที่สุดค่ะ วิธีการคือ ใช้ไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่น ½ แก้วตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปราดลงบนผมเส้น ใช้มือนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นโดยไม่ต้องสระผมซ้ำ ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผมจะค่อยๆ ปรับสภาพ และหายมันค่ะ

สำหรับคนผมแตกปลาย พบมากในคนที่ชอบทำสีผม การม้วนผมหรือการดัด ตัดซอยด้วยใบมีดโกน หรือในคนที่ต้องใช้ความร้อนกับผมบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งใช้อุปกรณ์ตกแต่งทรงผมอย่างขาดความระมัดระวังก็ตาม วันนี้หมดกังวลได้เลยค่ะ แค่ใช้ไข่ไก่ผสมกับน้ำมันงาและน้ำผึ้ง โดยใช้ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ตีผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นราดให้ทั่วศีรษะ แล้วค่อยๆ นำส่วนผสมที่ทำไว้เทลงไปให้ทั่วศีรษะคลุมด้วยผ้าขนหนูชุบกับน้ำอุ่นหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง แค่นี้ผมแตกปลายก็จะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้วละค่ะ

ผมทำสีก็เช่นกันค่ะต้องรักษาดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นสภาพผมที่อ่อนแอที่สุด นอกจากมีอาการแห้งกรอบภายในเส้นผมจะมีรูพรุนอยู่ทั่วไป ที่สำคัญยังเป็นต้นเหตุของปัญหาเส้นผมทั้งผมร่วง แห้ง เสีย หากไม่อยากให้เส้นผมมีอายุการใช้งานสั้นเกินไปลองนำสูตรการดูแลเส้นผมสูตรนี้ไปใช้ดู สูตรน้ำมะนาว วิธีการทำให้นำน้ำมะนาวจำนวน 2 ผลมาคั้นเอาแต่น้ำใส่บริเวณโคนผม ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้เป่าผมจนแห้ง วิธีนี้จะช่วยให้สีผมที่ทำมาชัดขึ้นแถมยังบำรุงหนังศีรษะได้ด้วยค่ะ

แต่ทั้งนี้เพื่อให้เส้นผมอยู่กับเราไปนานๆ การเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมจากภายในด้วยการเลือกกินอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผมก็จำเป็นเช่นกันค่ะ ซึ่งอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอย่าง ฟักทอง มะละกอ ตำลึง หรือ แครอท เหล่านี้จะช่วยให้ผมเงางามและมีน้ำหนักขึ้นได้ แต่ควรเสริมวิตามินซีและอี ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เข้าไปด้วยจะทำให้ผมดูดียิ่งขึ้นได้ ที่สำคัญควรลดการดื่มน้ำอัดลมเพราะทำให้เลือดเป็นกรดและส่งผลให้เส้นผมสูญเสียแร่ธาตุไปในตัวได้คะ

รู้อย่างนี้แล้วหากต้องการมีผมสวยลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูนะค่ะแล้วคุณจะรู้ “ผมสวย” อยู่ใกล้มือคุณนิดเดียว....

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วิตามินดี มีมากกว่าแดด

"แสงแดด” คือที่มาของ“วิตามินดี” เริ่มใช้ไม่ได้ในสังคมเมือง ผู้คนตื่นก่อนอาทิตย์ขึ้น และกลับบ้านมืด ลองหาแหล่งอาหารสร้างวิตามินดีที่ใกล้ตัว

ลองตอบคำถามข้างล่างดูก่อนว่า คุณเลือกกินวิตามินเพราะอะไร?

- กินวิตามิน ก็ต่อเมื่อร่างกายขาด ถ้าไม่ขาด ก็ไม่จำเป็น

- กินเพราะไม่รู้ว่าอาหารที่กินทุกวันให้วิตามินครบถ้วนหรือไม่

- กินเพราะต้องการวิตามินรักษาโรค เพราะกลัวผลข้างเคียงจากยาเคมี

- กินเพราะต้องการปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ และเพื่อป้องกันความชรา

คำตอบ ...

ถูกต้องทุกข้อ

แม้เราไม่จำเป็นต้องกินวิตามินจนเกินความต้องการของร่างกาย แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะกินวิตามินให้ครบทุกชนิดเพื่อทำให้ร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ ขณะเดียวกันเราไม่อาจปฏิเสธข้อดีของวิตามินในการช่วยรักษาโรคและเป็นยาอายุวัฒนะได้

ใช่ว่าเห็นอรรถประโยชน์มากมายแล้ว จะอัดวิตามินลงท้องจนพุงกางอย่างไม่มีสติ แต่เราต้องกลับมานั่งวิเคราะห์ต่อว่า เรามีความรู้เรื่องวิตามินเพียงพอแล้วหรือไม่?

กระแสฮิตวิตามินเริ่มนิยมตั้งแต่ 20 ปีก่อน ผู้บริโภคที่รักสุขภาพทั้งหลายหันมาสนับสนุนวิตามินรวม เพราะไม่รู้ว่าตนเองขาดวิตามินตัวไหน จึงตัดปัญหาขี้สงสัยด้วยวิธี “เหมาหมด”

อีกทั้ง ยังเชื่อมั่นว่าวิตามินรวมจะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม รวมทั้งช่วยลดจำนวนวันที่เจ็บป่วยและบรรเทาอาการปวดได้

แล้วอาหารที่เรารับประทานตามปกตินั้นได้รับวิตามินเพียงพอแล้วหรือ?

นายแพทย์พัฒนา เต็งอำนวย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิตามิน และแพทย์ประจำเมดิคัลสปา เผยว่าผู้รักสุขภาพหาทางออกด้วยการบริโภควิตามินสำเร็จรูป ซึ่งอัตราส่วนของวิตามินแต่ละตัวนั้นกำหนดให้เหมาะสมกับร่างกายของทุกคน

สำหรับคนที่คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบก็จะตั้งคำถามต่อว่า เรายังขาดวิตามินตัวใดอีกบ้าง

จากผลการสำรวจการขาดวิตามินในผู้หญิงไทยที่อาศัยอยู่นอกเมืองในขอนแก่น มีอัตราขาดวิตามินดีอยู่ระหว่าง 34.9 - 65.1% แม้พวกเขามีโอกาสได้รับวิตามินดีจากแสงแดดมากกว่าอยู่ในเมืองก็ตาม จึงน่าจะอนุมานว่า ผู้หญิงในเมืองย่อมขาดวิตามินดีไม่มากก็น้อย

แม้ว่าแหล่งวิตามินคือ แสงแดด การควบคุมน้ำหนัก และสารอาหารประกอบอื่นๆ จะหาได้ง่ายและมีให้เสพได้ชั่วอายุขัย แต่ปัจจุบันเรามีความเสี่ยงมากขึ้น

ยิ่งอายุมากขึ้น ร่างกายสร้างวิตามินดีน้อยลง รวมถึงอาการผิดปกติของตับและไต ย่อมสะท้อนว่าร่างกายขาดวิตามินดีแล้ว

เมื่อศึกษาเพิ่มขึ้น ความน่าสนใจของวิตามินดีก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เนื่องจากมันเป็นวิตามินหลักในการเพิ่มแคลเซียม ช่วยต่อต้านมะเร็ง ลดความดันโลหิต ทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น รวมทั้งสามารถเพิ่มอินซูลินในร่างกาย

วิตามินดีจึงไม่ใช่เรื่องของกระดูกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ Anti-aging ด้วย

เมื่อรู้ข้อดี ก็ต้องบริโภคให้พอดีด้วย จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด

อัตราการบริโภควิตามินดีที่เหมาะสมที่สุด คือ น้อยกว่า 30 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร หากรับประทานวิตามินรวม ควรบริโภควิตามินให้ได้ 400-800 IU หรือวิตามินดี 2 ซึ่งได้จากพืชในปริมาณหนึ่งแคปซูล 3 ครั้งต่อสัปดาห์

นอกจากนั้น เรายังสามารถหาแหล่งวิตามินดีได้จากปลาแซลมอน และเห็ดหอมด้วย

ปลาแซลมอนที่ดี ต้นตำรับจากประเทศนอร์เวย์เนื้อแน่นนุ่มสีส้มอ่อน ทั้งแซลมอนสดและรมควัน มักเอามาทำการหมัก ส่วนมากจะเอามาทานกับขนมปังหรือมันฝรั่ง และอื่นๆ มีคุณค่าทางอาหารมากมาย

นอกจากวิตามินดีและโปรตีนแล้วยังมีสารสำคัญคือ กรดไขมันจำเป็นชนิด โอไมก้า 3 ซึ่งจะช่วยในการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นสูง ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น จึงช่วยลดอัตราการเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ

DHA ยังช่วยทำให้เซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำมีขนาดใหญ่ขึ้น บรรเทาอาการปวด บวม อักเสบ ในผู้ป่วยโรคไขข้อรูมาตอยด์

เห็ดหอม คุณสมบัติเลิศที่สามารถนำมากินได้นั้น มีทั้งเห็ดหอมสดและเห็ดหอมแห้ง หากเป็นเห็ดหอมแห้งจะต้องนำมาแช่น้ำก่อนปรุงอาหาร เช่นเห็ดหอมผัดน้ำมันหอย เห็ดหอมตุ๋น โจ๊กเห็ดหอม ตลอดจนใช้เป็นวัตถุดิบในข้าวผัด และผัดผัก เป็นต้น

นอกจากเห็ดหอมจะให้สรรพคุณทางยา เป็นอายุวัฒนะ รักษาหวัดทำให้เลือดลมดี รักษาโรคหัวใจ ป้องกันโรคเลือดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แถมยังมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดีแล้ว

เห็ดหอมมีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพ ในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก และป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ

สูตรสวยที่บ้าน

วันหยุดยาว....ที่ผ่านมา ไปเที่ยวช่วยชาติกันบ้างหรือเปล่า...

มีโอกาสอยู่เฉยๆ หลายวันอย่างนี้ ต้องยอมขอบคุณตัวเอง ด้วยวิธีง่ายแสนง่าย ให้สวย สบาย และประหยัด จะสวยทันใจยุคนี้ก็ต้องใช้เงินให้คุ้มค่า ส่วนทาง "ช่วยชาติ" นั้นคือ ใช้ของไทย กินของไทย (บางอย่างก็ต้องอิมพอร์ต นิดหน่อย)

เช่น เมื่อวันว่างสัปดาห์ก่อน อยู่บ้านเฉยๆ ก็เดินไปตลาดติดแอร์ หาซื้อของมากักตุนไว้ เอาไว้ทำโน่นทำนี่ กินก็ได้ สวยก็ดี สูตรนี้เปิดเผยไปทั่วตามอินเทอร์เน็ต นิตยสารเมืองนอกเมืองไทย ก็หาสูตร สครับ ให้ผิวสวยด้วยตัวเอง มี มาส์ก หน้า เพื่อผิวเปล่งปลั่ง สดใส ที่สำคัญคือ เราทำเองกับมือที่บ้าน ได้ของสด ก็หาจากในตู้เย็นที่ไปช้อปมานั่นแล

เช่น สูตรสครับ ขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ได้ผลทันใจ โดยทั่วไปต้องมีเมล็ดธัญพืช หรือเนื้อผลไม้ค่อนข้างสุก เลือกผลไม้แนวสดชื่น กลิ่นไม่ทรมานใจมาก ส่วนผสมทั้งสองชนิดเป็นเมนหลัก ถือเป็นสูตรตายตัว จะใช้ผสมกันหรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วตามด้วยส่วนผสมที่ค่อนข้างเหลว เป็นเนื้อน้ำเข้มข้น อะไรที่ผสมกับเมล็ดธัญพืชหรือเนื้อผลไม้แล้วเกิดเป็นเนื้อครีมเข้มข้น โดยทั่วไปใช้น้ำผึ้ง ปัจจุบันมีผงผึ้ง เรียกว่า Honey powder มักใช้ในสปา เพราะน้ำผึ้งเป็นน้ำข้นเหนียว หนืด และหวานเกินห้ามใจ (มด) ที่เมื่อนำไปมาส์กหรือพอกหน้าแล้วดูเป็นอันตราย ใช้ผงน้ำผึ้งที่เริ่มมีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต บ้างขายผ่านทางด่วนใยแมงมุม ผงน้ำผึ้งลักษณะคล้ายผงแป้งข้าวโพด ผู้ผลิตเขาใช้น้ำผึ้งแท้ๆ นี่แหละไปทำให้แห้ง แล้วผสมฟรักโทสกับ Maltodextrin ตัวนี้เป็นสารชนิดหนึ่งให้ความหวาน มักใช้เติมลงในไอศกรีม แม้ในไอศกรีมที่บอกว่าเป็น Sugar free ก็นิยมเติมสารตัวนี้ลงไป ผงน้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นแอนตี้-เซพติก คือต้านเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ผิวปลอดเชื้อ และดูดซับความชุ่มชื่น ช่วยกระชับรูขุมขน ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ลอกออก คนขายระบุว่าเป็นคลีนเซอร์ธรรมชาติ ใช้ผสมในครีม โลชั่น ทาผิวตัวและผิวหน้า ผสมในนมทำมิลล์ บาธ ผสมในเกลือขัดผิวหรือแช่ตัว ผสมในสบู่หรือทำสบู่บับเบิล ให้นอนแช่ในอ่างอาบน้ำสบายตัว

ผงน้ำผึ้ง เป็นอีกส่วนผสมหลักใช้ทำสครับผิวหน้า และควรมีธัญพืช ตัวสำคัญได้แก่ โอ๊ตมีล (ที่กินกันนั่นแหละ) หรือใช้โอ๊ตบาร์น เป็นเกล็ดเล็กละเอียดลงไปอีก ผสมกันเข้าไป ใครผิวแห้งเติมผงนมลงไปได้อีก แล้วแต่สูตรที่ชอบ กลิ่นที่ชวนใช้ ส่วนใครชอบเนื้อผลไม้ ที่เหลือๆ ค้างในตู้เย็นกินไม่หมด เอามาใช้สครับได้ เช่น มะละกอสุก บางสูตรใช้มะละกอห่าม สูตรนี้ต้องออกแรงเค้นนวดให้เนื้อเหลว เพื่อผสมกับน้ำผึ้งให้มีเนื้อเข้มข้น สครับผิวต้องมีเนื้อข้นเหมือนซอสหนักๆ เวลาพอกแล้วจะได้หนากำลังดี เกาะผิวหน้า หรือถ้ามีโยเกิร์ตเติมลงไปก็ช่วยในการบำรุงผิวยิ่งขึ้น ดังนั้น ส่วนผสมหลักๆ มีอย่างไหนก็ใช้อย่างนั้น เช่น ผงน้ำผึ้ง ผงนม ผงนมถั่วเหลือง โอ๊ตมีล ผลไม้เช่น เนื้อมะละกอ กีวีก็ดีนะ ส้มเกรพฟรุต สตรอว์เบอร์รี และพวกลูกเบอร์รีทั้งหลาย เป็นผลไม้กินอร่อย สครับก็ได้ มาส์กก็ดี ใช้ประโยชน์ได้หลายสถาน

จากนั้นหาชามสะอาดเอาไว้ เตรียมส่วนผสม สูตรมาส์กหน้าให้ผิวกระจ่าง มีมะละกอห่าม 1/2 ถ้วย หั่นลูกเต๋า โยเกิร์ตธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้ผงน้ำผึ้งแทน 2 ช้อนโต๊ะ) เทส่วนผสมลงเครื่องปั่นจนเนื้อเนียน ทาผิวหน้าทิ้งไว้ 8-10 นาที ล้างออก เช็ดโทนเนอร์แล้วบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ สูตรนี้ใช้เวลาน้อย แค่ไม่กี่นาที เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า กรณีที่ใช้ผงน้ำผึ้งจะเติมน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยเพื่อให้ได้เนื้อข้นกำลังดีก็ได้

สูตรมาส์กหน้าสำหรับผิวแห้ง มีโอ๊ตมีล 2 ช้อนโต๊ะ นมผง 1 ช้อนโต๊ะ ผงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผงกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ (ไม่ใส่ก็ได้) โรสฮิพออยล์ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมส่วนผสมให้เข้ากันใช้มาส์กหน้าหรือขัดตัว (เพิ่มส่วนผสมตามอัตราที่ใช้) สูตรนี้ผู้ชายใช้ได้ เวลาผสมกันแล้วถ้าข้นเกินไปเติมน้ำได้นิดหน่อย ก่อนมาส์กหน้าล้างหน้าสะอาดแล้วใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มชุบน้ำอุ่น พันรอบใบหน้าไว้สักพักแล้วตามด้วยมาส์กพอกผิว หลีกเลี่ยงรอบริมฝีปากและรอบดวงตา ปล่อยให้แห้ง 10-20 นาที ล้างออก แล้วเช็ดด้วยโทนเนอร์ ต่อด้วยครีมบำรุง

ส่วนสูตรจากลูกเบอร์รี ถ้าเหลือกินก็เอามาปั่นผสมโยเกิร์ต กับเมล็ดดอกทานตะวัน ปั่นให้เป็นเนื้อเข้มข้น มาส์กหน้าทิ้งไว้ แต่ความจริงอยากบอกว่า เบอร์รีนำเข้าแพงอยู่นะ กินสดๆ ให้พลังผลไม้ย่อมดีกว่า

ทำสปาสวยเองที่บ้าน ง่ายจัง ใครๆ ก็ (สวย) ทำได้...

ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ

ถ่ายเป็นเลือดระวังริดสีดวงทวารหนัก

ไม่กินผักผลไม้ ดื่มน้ำน้อย เครียดในชีวิตประจำวัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะท้องผูก และถ่ายผิดปกติหรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเสี่ยงต่อริดสีดวง

นพ.ทรงศักดิ์ กรสุทธิโสภณ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลเจ้าพระยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนไทยเริ่มมีพฤติกรรมในการบริโภคอาหารที่เปลี่ยนไปเพิ่มมากขึ้นโดยหลายๆคนไม่รับประทานผักผลไม้หรือบางคนดื่มน้ำน้อยมากในแต่ละวัน

ประกอบกับการเกิดความเครียดจากการทำงาน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัวและสังคม ส่งผลให้คนไทยมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอาการท้องผูก และถ่ายผิดปกติหรือมีเลือดปนออกมา จนถึงขั้นเป็นโรคโลหิตจางจนต้องให้เลือดทดแทน

ทั้งนี้อาการถ่ายเป็นเลือด เป็นอาการหนึ่งจากสภาวะท้องผูก หรือการถ่ายอุจจาระที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ซึ่งมาจากพฤติกรรมในผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานผัก และผลไม้หรือดื่มน้ำน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน รวมถึงภาวะความเครียดในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรจะพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและตำแหน่งที่เลือดออกว่ามาจากส่วนใด ซึ่งอาจจะเป็นเนื้องอก มะเร็ง หรือริดสีดวงทวารหนัก คือถ้ามีเลือดออกจากลำไส้ใหญ่ส่วนล่างหรือบริเวณทวารหนัก

ผู้ที่มีอาการจะเห็นเป็นเลือดสีแดงสดไหลหรือหยดหรือผสมกับอุจจาระที่ออกมา อาการเหล่านี้หากทิ้งไว้ในระยะยาวโดยไม่ทำการรักษา อาจนำไปสู่การเป็นโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 ได้

โรคริดสีดวงทวารหนักภายในระยะที่ 1 และ 2 ไม่ถือว่าเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่จะเป็นความลำบากสำหรับผู้ป่วยเองในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะการที่ผู้ป่วยปล่อยให้โรคริดสีดวงทวารหนักเรื้อรังจนลุกลามไปถึงระยะที่ 3 และ 4 เป็นเพราะผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักบางรายส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะไปพบและปรึกษาแพทย์ มักจะเก็บความทุกข์ทรมานจากโรคนี้ไว้ตามลำพังเนื่องจากเกิดความอาย และกลัวกับวิธีการผ่าตัด

แต่ปัจจุบัน วิทยาการทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาโรคริดสีดวงทวารหนักมีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ4 สามารถเลือกที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ (Stapled hemorrhoidectomy) หรือที่เรียกว่า PPH (Procedure for prolapsed and hemorrhoid) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีก้อนเนื้อยื่นออกมาในปริมาณมาก

การรักษาด้วยเครื่องมือดังกล่าว จะช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บน้อยลงและใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นน้อย ไม่มีผลข้างเคียงหลังการผ่าตัด รวมถึงผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไวกว่าการผ่าตัดแบบเดิม

การใช้เครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ หรือ PPH กับผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวารหนักในระยะที่ 3 และ 4 เป็นวิธีแก้ไขกลไกที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักโดยตรง ซึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญในการผ่าตัดรักษาประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เครื่องมือสอดและถ่างทวารหนัก เครื่องมือช่วยเย็บ และเครื่องมือตัดเย็บหัวริดสีดวง โดยการตัดและเย็บนี้ จะกระทำตามแนวเส้นรอบวงโดยตลอด จึงสามารถตัดหัวริดสีดวงออกได้ทุกหัวและไม่ทำให้รูทวารหนักแคบลง

อีกทั้งแนวการเย็บอยู่สูงกว่าเส้นเด็นเต็ท (dentate line) ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดน้อยลง

นพ. ทรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า โดยทฤษฏีแล้วโรคริดสีดวงทวารหนักเกิดจากการเลื่อนตัวของเบาะรอง(cushion) ที่อยู่ภายในทวารหนักออกมาภายนอก วิธีการผ่าตัดนี้จะดันเบาะรองกลับไปสู่ตำแหน่งเดิม และตัดเฉพาะส่วนเกินที่ยื่นออกมาเท่านั้น ไม่ตัดเบาะรองออกทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้วเบาะรองมีประโยชน์ในการทำให้ทวารหนักของคนเราปิดสนิทไม่มีน้ำอุจจาระเล็ดออกมาได้ในระหว่างที่ไม่ได้ถ่ายอุจจาระ

“ เพื่อป้องกันการเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก หากผู้ป่วยพบว่ามีอาการถ่ายเป็นเลือด ถ่ายลำบาก อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นเรื้อรังควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเรื่องการรับประทานอาหาร เน้นผักและผลไม้ให้มากขึ้น ดื่มน้ำมากๆ หลีกเลี่ยงอุปนิสัยเบ่งอุจจาระเวลาขับถ่าย ไม่ใช้ยาสวนอุจจาระพร่ำเพรื่อ

หากหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีโอกาสห่างไกลจากโรคริดสีดวงทวารหนัก และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยที่ไม่ต้องพบแพทย์” นายแพทย์ทรงศักดิ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก กรุงเทพธุรกิจ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อยากมีฟันขาว ต้องทำแบบนี้จ้า

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้ฟันขาวมาแนะนำกัน....

วิธีแรก คือ แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงหลังอาหารทุกมื้อร่วมกับการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลง แต่ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย สำหรับฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ

การฟอกสีฟัน คือ การฟอกสีฟันทั้งปาก ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป และมีการวิวัฒนาการของยาที่ฟอกสีฟัน ทำให้ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การฟอกสีฟันทั้งปาก ทำได้ 2 วิธี

วิธีแรก คือ จะต้องทำในคลินิก โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ทำ โดยใช้สารฟอกสี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สารประเภท Peroxide ที่มีความเข้มข้น 30-35 % ระยะเวลาในการทำแต่ละครั้ง คือประมาณ 30 นาที-1 ชั่วโมง

วิธีที่สอง คือ นำสารฟอกสีกลับไปทำเองได้ที่บ้าน โดยทันตแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ให้ แต่ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัด สารฟอกสีที่ใช้ก็จะเป็นประเภทเดียวกับที่ทำในคลินิก แต่จะมีความเข้มข้นน้อยกว่า คือ ประมาณ 2-10% เพื่อความปลอดภัย วิธีฟอกก็ไม่ยาก เพียงแค่บีบสารฟอกสีลงในถาดฟันยางที่ทันตแพทย์ทำเฉพาะไว้สำหรับแต่ละคน จำนวนน้ำยาที่ใส่ลงในถาดก็ประมาณเพียง 1 ใน 3 ของถาด แล้วสวมฟันยางไว้ วันละ 1-2 ชั่วโมง

ใครที่อยากให้ฟันขาวสะอาดก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติดูกันได้
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

หย่ากาแฟไม่ให้ปวดหัว

แม้หลายคนพยายามลด ละ เลิก เพื่อสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน แต่พองดดื่มไปซักมื้อสองมื้อก็เกิดอาการต่างๆ นานาเสียแล้ว แต่ที่พบบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นอาการปวดหัว

นอกจากความตั้งใจจริงแล้ว ลองทำตามวิธีเลิกกาแฟไม่ให้ปวดหัวดังนี้

1. ลดจำนวนถ้วยจากปกติลง 1 ถ้วย สัก 3-4 วัน จนรู้สึกว่าไม่กระวนกระวายแล้ว

2. ขั้นต่อมาให้ผสมกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน (decaf) ลงไป แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณของกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนทดแทนกาแฟปกติลงไปให้มากขึ้น

3. งดอาหารและเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ที่มีคาเฟอีนด้วย เช่น เครื่องดื่มประเภทโคล่า

4. สำหรับคนที่สูบบุหรี่และดื่มกาแฟในปริมาณมากอยู่แล้ว แนะนำให้ค่อยๆ เลิกทั้งสองอย่างพร้อมกัน เนื่องจากคนสูบบุหรี่สามารถนำคาเฟอีนในกระแสเลือดไปใช้ได้เร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่ หากไม่ลดจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบ แต่ลดจำนวนกาแฟลง จะทำให้ปริมาณคาเฟอีนในกระแสเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการปวดหัว เพื่อป้องกันอาการปวดหัวและอาการกระวนกระวาย จึงควรค่อยๆ ลดบุหรี่ไปพร้อมๆ กัน

ฝนตกทำไมต้องเป็นหวัด?

เคยสงสัยกันไหม ทำไมเวลาเข้าฤดูฝนทีไร เป็นต้องได้ยินเสียงฮัดชิ้ว ไอ จาม ของคนรอบข้างอยู่เป็นประจำ หรือถ้าศีรษะเปียกฝนต้องรีบกลับมาอาบน้ำ สระผมทันที ไม่เช่นนั้นจะไม่สบาย วันนี้สามัญประจำบ้านมีมาบอก

โรคหวัด หรือเรียกอีกอย่างว่า โพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ที่กระจายอยู่เป็นร้อยๆ ชนิดในอากาศ ทุกวันเราต้องสัมผัสกับเจ้าไวรัสพวกนี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากร่างกายของเรามีภูมิต้านทาน และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถทำอะไรเราได้

แต่ถ้าวันไหนท้องฟ้ามืดครึ้ม มีลมแรง พัดไวรัสให้ฟุ้งกระจาย และเราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนที่ฝนใกล้จะตก โอกาสที่จะสัมผัสไวรัสก็มีมากขึ้น หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้น คือ เราตากฝน ทำให้ศีรษะเปียกชื้น จะทำให้อุณหภูมิที่บริเวณเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิระดับนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้ ทำให้เราเป็นหวัดนั่นเอง

หรือบางที ถ้าเท้าเราต้องแช่อยู่ในน้ำนานๆ หรือเปียกน้ำ อุณหภูมิในเยื่อบุจมูกลดต่ำลง ก็นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้เช่นกัน ฉะนั้น เรามาทราบวิธีป้องกันไม่ให้เราเป็นหวัดเวลาที่ศีรษะเปียกฝนกันดีกว่า

1.อย่าอยู่ในที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะก่อนฝนตก แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกกันไว้

2.หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งทันที แต่ถ้าจะให้ดีอาบน้ำสระผมไปเลย จากนั้นรีบเช็ดและเป่าให้แห้งโดยเร็ว เพื่อทำให้อุณหภูมิเปลี่ยน และเจ้าเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวได้ลำบาก

3.แช่เท้าในน้ำอุ่น หรือรีบทำให้ร่างกายอบอุ่น

4.รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล หรือรับประทานวิตามินซีเม็ด เพื่อช่วยเสริมสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป

ที่สำคัญ อย่าลืมออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้าร่างกายเราแข็งแรงซะอย่าง โรคไหนก็ไม่มีทางมากล้ำกรายได้เด็ดขาด

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ยาวิเศษที่หาได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใครเพื่อให้ได้มา

การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการที่ต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง แข่งกับใจของตัวเอง

ซึ่งหลายคนก่อนจะออกกำลังมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป

เป็นที่น่าดีใจว่าการออกกำลังให้สุขภาพดีไม่ต้องใช้เวลามากมายเพียงแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็พอ และก็ไม่ต้องใช้พื้นที่หรือเครื่องมืออะไรมีเพียงพื้นที่ในการเดินก็พอแล้ว การออกกำลังจะทำให้รูปร่างดูดี กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคอ้วน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่จะทำงานและต่อสู้กับชีวิต นอกจากนั้นยังสามารถลดความเครียด

ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายมักเป็นคนที่อ่อนแอ ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ดังนั้นโรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกายมีมากมายหลายโรค ซึ่งบางโรคเราอาจจะไม่รู้จัก และคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเพราะการไม่ออกกำลังกาย อย่างเช่น
- กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด
- โรคอ้วน
- โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง
- โรคเครียด
- โรคภูมิแพ้
- โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- โรคมะเร็ง

การเริ่มต้นออกกำลังกาย
สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่าย วิธีดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกายคือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวันเช่น
- ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล
- หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล
- ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
- ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน
- ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน
- ทำกิจวัตรเหล่านั้นทุกวันเป็นเวลา 2-3 เดือน หลังจากเพิ่มกิจกรรมได้พักหนึ่งจึงเริ่มต้นเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น
- เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า
- ขี่จักรยานนานขึ้น
- ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น
- ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น
- ว่ายน้ำ
- เต้น Aerobic แต่ไม่ต้องมาก
- เต้นรำ
- เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง

ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มต้นออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี แข็งแรง ห่างไกลโรค อย่างคำที่ว่า แค่ขยับ=ออกกำลังกาย สโลแกนที่ไม่มีวันตาย แถมทำได้ด้วยตัวคุณเอง....

สงครามห้ามโชว์บุหรี่เรื่องใหญ่ต้องใช้ใจ สู้ !

ใช้กฎหมายที่เข้มขึ้น ให้แพ้-ชนะกันไปข้างนึง
"ห้ามโชว์บุหรี่ ณ จุดขาย ในร้านที่ปฏิบัติตามก็ยังพบว่ามีรูปแบบการปฏิบัติที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่เข้าลักษณะปากกับใจไม่ตรงกัน หรือ paradox อยู่จำนวนไม่น้อย เช่น ติดข้อความ "ที่นี่จำหน่ายบุหรี่" ขนาดใหญ่ และบางร้านยังทำข้อความนี้ไปติดหลายๆ ป้ายในร้านเดียว ซึ่งน่าติดตามต่อไปว่าจะก่อผลในเชิงกระตุ้นให้บริโภคหรือไม่ อีกรูปแบบหนึ่งคือการเปิดให้เห็นสินค้าแบบวับๆ แวมๆ เช่น เผยม่านที่บังชั้นบุหรี่ด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน หรือปิดไว้ด้วยกระดาษที่เก่าจนขาดยุ่ย หรือปิดแบบแง้มๆ ให้เห็นสินค้า ซึ่งสำรวจพบที่ร้านในเครือร้านสะดวกซื้อดังๆ

นอกจากนี้ยังพบการหลีกเลี่ยงกฎหมายในลักษณะการวางตู้แบบหันหลังหรือหันข้างๆ ไว้ที่หน้าร้านหลังแคชเชียร์หรือที่เห็นได้ง่าย แต่ยังเห็นสินค้าชัดเจนเพราะเป็นตู้โปร่งใส รวมทั้งการวางบุหรี่แฝงปนกับของอื่นๆ การวางชื่อและราคา" ดร.กิตติ กันภัย จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ พูดถึงผลการศึกษาหลังกระทรวงสาธารณสุขออกมาตรการห้ามโชว์บุหรี่ ณ จุดขายครบ 1 ปีเต็ม

สรุปก็คือว่าหลังจากที่คนไทยส่วนใหญ่ที่ตระหนักถึงภัยร้ายที่เกิดจากบุหรี่ ทั้งคนที่สูบโดยตรงและคนที่ไม่สูบโดยตรงภัยคือเสียทั้งเงินทองในการซื้อหาเป็นการใช้เงินในครอบครัวอย่างผิดประเภทเสียทั้งสุขภาพนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงที่ทำให้เสียเงินเสียทองในการบำบัดรักษามหาศาล เป็นต้นว่าโรคถุงลมโป่งพองเสียทั้งเงินในครอบครัว เสียทั้งงบประมาณของรัฐ ไปจนกระทั่งสูญเสียเวลาในการประกอบอาชีพการงานจนทำให้ต้องเสียรายได้ไปอย่างไม่ควรจะเป็น

อยากให้ลองหลับตานึกถึงภาพคนที่กำลังรักษาตัวด้วยโรคถุงลมโป่งพองเพราะการสูบบุหรี่ดูว่าจะแย่ ทรมานและเป็นปัญหาแก่ครอบครัวและสังคมแค่ไหน

คนขายบุหรี่อย่างพวกร้านสะดวกซื้อดังๆ และคนผลิตบุหรี่มักไม่คำนึงถึงเรื่องความเสียหายเหล่านี้ ความเดือดร้อนเหล่านี้หวังแต่เพียงว่าขอให้ได้ประโยชน์เข้าพกเข้าห่อเท่านั้นเป็นพอ ที่พูดอย่างนี้ก็ยืนยันจากผลการสำรวจพฤติกรรมที่ ดร.กิตติ เปิดเผยไว้ข้างต้น

ไม่มีหัวจิตหัวใจจะสำนึกถึงความห่วงใยคนไทยด้วยกัน ลูกหลานไทย และความสุขสงบร่มเย็นของสังคมไทยคนไทยที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังคำที่ว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ อย่าว่าแต่จะสำนึกด้วยหัวใจเลย ขนาดว่ามีการออกกฎหมายมาบังคับจึงยอมปฏิบัติตามเพราะกลัวกฎหมาย แต่ด้วยเพราะหมกมุ่นอยู่กับความโลภยังทำทุกวิถีทางที่จะดึงให้คนหันมาเสพบุหรี่กันมากและมากขึ้น

นับตั้งแต่มีการรณรงค์อย่างจริงจังจนถึงการออกกฎหมายห้ามโฆษณา ห้ามโชว์ ณ จุดขาย ห้ามสูบ ณ จุดต่างๆ เช่นป้ายรถเมล์เป็นต้น กำลังจะห้ามสูบในคาเฟ่ในผับ คาราโอเกะ ทั้งนี้เพราะเกิดจากความห่วงใยของคนทุกคนในครอบครัว ในสังคมไทย (ยกเว้นเจ้าของร้านขายคนขายและผู้ผลิต) คนส่วนใหญ่มองคนสูบบุหรี่เป็นตัวประหลาดไปแล้วหรือก็คือเป็นคนที่สังคมไม่รับ เป็นคนที่สังคมขยะแขยงเหมือนตัวเชื้อโรคร้ายที่จะนำภัยพิบัติมาถึง

เอาเถอะ...ถึงใครที่สูบบุหรี่เพราะอ้างว่าไม่สูบแล้วจะลงแดงหรืออาจจะคิดว่าหน้าด้านพอที่จะเชิดหน้าในสังคมได้ ก็อยากให้สำนึกว่าลงแดงพักเดียวก็หาย ไม่เดือดร้อนใครมากแต่ถ้าเป็นถุงลมโป่งพอง นั่นเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเสียทั้งเงินทั้งเวลา แล้วก็อยากให้สำนึกว่ามีคนเคารพนับหน้าถือตา ดีกว่าถูกรังเกียจเดียดฉันท์ หรือโดยเฉพาะรังเกียจว่าเป็นตัวประหลาดตัวเชื้อโรค

จะไม่ขอให้ร้ายขายเทหัวใจมาเห็นดีเห็นงามกับการรณรงค์ให้คนไม่สูบบุหรี่ แต่วันหนึ่งถ้าเจอเข้ากับตัวเองหรือครอบครัวด้วยโรคถุงลมโป่งพอง อาจจะสำนึกได้กระมัง ด้วยมุ่งประโยชน์เข้าตนฝ่ายเดียวกฎหมายที่ออกมารณรงค์ก็จะต้องเข้มขึ้น ไม่ห้ามขายอยู่แล้ว แต่ห้ามแพลมให้เห็นตัวสินค้า

เมื่อคิดทำสงครามกันแล้วก็ต้องสู้กันให้จริงจังให้แพ้ชนะกันจริงๆอย่าลูบหน้าปะจมูก กฎหมายสู้ทุนไม่ได้ก็ยอมแพ้นายทุนเขาไป จะได้รู้ว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

สิว...ไม่ใช่แค่เรื่องผิวๆ

ใครจะคิดว่าปัญหาเล็กๆ แค่เรื่องสิวๆ ธรรมดาๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ถ้ามีการรักษาไม่ตรงจุด เพราะอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การเกิดสิว มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนในร่างกาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าฮอร์โมนในร่างกายที่ว่านี้แปรปรวน ตับและไตเริ่มเสียสมดุล อาจเป็นเหตุก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในคนที่ใช้ยารักษาสิวซึ่งมีส่วนผสมของโรแอคคิวเท็นต่อเนื่องนานนับปีจนร่างกายเริ่มรวน อาจมีอาการแพ้ยาจนในที่สุดจะมีผื่นแดงทั่วร่างกาย นั่นคือสัญญาณอันตรายของหน้าพังแล้ว

แต่เมื่อปัญหาเกิดแล้วใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ได้ออกมาบอกว่า โรแอคคิวเท็นเป็นกรดวิตามินเอยอดฮิตในการรักษาสิว ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและต้านการอักเสบ ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ติดต่อกันราว 3-4 สัปดาห์เท่านั้น แล้วจะค่อยๆ ให้ลดตัวยาลง ซึ่งหลายคนที่รักษาสิวด้วยยาตัวนี้มักพอใจในผลที่ได้รับ เพราะทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่มัน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลข้างเคียง โดยเฉพาะอาการปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง จนใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ ผิวหน้าร้อนแดง อักเสบ คล้ำขึ้น และไวต่อแสง หรือเครียดง่ายจนมีอาการทางจิต

บางรายเป็นหนักถึงมีอาการจมูกแห้งจนเลือดกำเดาออก คอแห้ง ปากแห้ง เสียงแหบแห้งและคัน ผมร่วง ขนดก เล็บผิดรูปร่าง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ แคลเซียมจับกระดูกและเส้นเอ็น กระจกตาอักเสบ เม็ดเลือดแดงและขาวลด หากใช้นานเกิน 1 ปีอาจมีการสะสมก่อให้เป็นมะเร็งตับได้ หากใช้ขณะตั้งครรภ์ทำให้ทารกพิการได้ถึง 30% รวมทั้งห้ามใช้เด็ดขาดในผู้ป่วยโรคตับ ไต ผู้มีภาวะวิตามินเอสูงเกิน ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง

ควรใจเย็นกับการรักษาอาการสิวจากการใช้อาหารธรรมชาติบำบัด เช่น กินข้าวกล้อง ผักผลไม้สด ให้มากเพราะมีวิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจน มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยลดอาการอักเสบ ทำให้จุดด่างดำจางลง เมล็ดฟักทองช่วยเรื่องการอักเสบ ถึงจะหายช้าแต่ก็มั่นใจว่าไม่อันตรายและยังราคาถูกอีกด้วย

ที่สำคัญเพื่อป้องกันเจ้าสิววายร้ายตัวฉกาจของใบหน้า เราต้องดูแลรักษาทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เช้า-เย็น ด้วยสบู่อ่อนๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะล้างกันบ่อยๆ นะค่ะ เพราะอาจจะทำให้หน้าแห้งได้ และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดนะค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจจะนำมาซึ่งสิวได้ เพียงแค่นี้เจ้าสิว ก็จะเป็นเพียงแค่เรื่องสิวๆ ได้แล้วละค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

นมสร้างโลก

น้ำนมสร้างโลก จะนมคนนมควาย ล้วนเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตแรกเกิดที่ต้องการน้ำนม ดื่มไปเรื่อยๆ จนสามารถกินอาหารอย่างอื่นทดแทน

1 มิถุนายน วันดื่มนมโลก มีการรณรงค์ให้ดื่มนมกันเยอะๆ นมดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นอาหารแรกเกิดของมนุษย์และของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม...

มนุษย์อาจสังเกตวิถีดื่มนมจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตั้งแต่วัว ควาย แกะ แพะ จามรี ม้า กวาง อูฐ ม้าลาย กระทั่งปลาวาฬ ...แล้วเมื่อให้กำเนิดทารกก็ให้เด็กนั้นดื่มนมแม่ คงไปแอบดูช้างม้าวัวควายออกลูกแล้วมันดื่มนมจากอกแม่ ทำให้มนุษย์สืบสายดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้จนทุกวันนี้

น้ำนมสร้างโลก จะนมคนนมควาย ล้วนเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตแรกเกิดที่ต้องการน้ำนมก่อนสามารถกินอาหารอย่างอื่น น้ำนมช่วยในการเจริญเติบโต อุดมด้วยแร่ธาตุอาหาร มีไขมันอิ่มตัว โปรตีน แคลเซี่ยม วิตามินซี กรดไลโนเลอิค คนวัยเจริญเติบโตล้วนต้องการน้ำนม

แม้นมและผลิตผลจากนม เป็นอาหารของชาวตะวันตก วัฒนธรรมดื่มนม เป็นวัฒนธรรมอาหารของคนซีกโลกตะวันตก คนในเขตหนาวและอบอุ่น แต่เด็กแรกเกิดเมืองร้อน ประเทศที่คนไม่ค่อยดื่มนม ไม่ได้เลี้ยงวัวควายไว้รีดนมอย่างบ้านเรา ก็ต้องการนมจากอกแม่ นมจากเต้าแม่วัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ช่วยให้ทารกน้อยอยู่รอดและเติบโตต่อไป

เด็กบางคนแพ้แลคโตสในน้ำนมแม่ก็ไปกินนมวัว คนแพ้นมวัวก็ทางเลือกผลิตภัณฑ์นมสำหรับทารกขี้แพ้ ก็เกิดมาแล้วต้องดื่มนม ดื่มไปเรื่อยๆ จนสามารถกินอาหารอย่างอื่นทดแทนได้ นมอาจจะหมดความสำคัญลงไปโดยเฉพาะสำหรับคนเอเซีย ที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมดื่มนมแข็งแรงเหมือนชาวตะวันตก กระนั้นก็ดี ตอนนี้เรากลายเป็นชาติดื่มนมไปแล้ว เมื่ออุตสาหกรรมนมทวีการเติบโตมาถึงแถบเอเซีย คนเอเชียที่อาจเคยเลี้ยงลูกด้วยน้ำข้าว ตอนนี้ไม่มีน้ำข้าวให้กินอีกแล้ว...

กลุ่มผู้ศึกษาแนวทางธรรมชาติบำบัด มักออกมาโต้ว่า น้ำนมมีไขมันตัวการทำให้เกิดโรคร้ายในภายหลัง ดูตัวอย่างชาวตะวันตกที่ดื่มนมตั้งแต่เด็ก อัตราการเกิดโรคมะเร็ง หัวใจและหลอดเลือด ก็เพิ่มมากขึ้น ในชาติที่ไม่ได้ดื่มนมแต่ตัวใหญ่แข็งแรงก็มีคนเชื้อชาติไทยรวมอยู่ด้วย เล่ากันว่าคนไทยโบราณตัวใหญ่แข็งแรง ไปดูเครื่องใช้ไม้สอยของคนแต่ก่อนจะมองเห็นความใหญ่โต

นั่นเพราะแต่ก่อนเราตัวโต แต่เราไม่ได้กินนม เราเลี้ยงวัวควายไว้ไถนา แล้วก็กินผักหญ้าแถวนั้น กินข้าวกล้อง ถั่ว งา กินปลาเล็กปลาน้อย หอยกุ้งปูปลาที่ตัวเล็กๆ นั่นแหละ กินน้ำพริกผักสด กินกะปิ ปลาร้า ในอาหารเหล่านี้แคลเซียมสูง ซึ่งทำให้เราเจริญเติบโต ร่างกายสูงใหญ่ไม่ได้แพ้ฝรั่งเลย

เวลาผ่านไปเราตัวเล็กลงได้ยังไง... ก็เล่ากันอีกว่าเพราะเราเลิกกินอาหารธรรมชาติเหล่านี้ เราก็ไม่แข็งแรง หันไปดื่มนมหวังเพิ่มแคลเซียม ผลที่ได้ก็เหมือนชาวตะวันตก แต่อย่างไรก็ดี นมก็ยังเป็นอาหารของทารก เกิดมาเกินวัยเตาะแตะแล้วก็ยังถูกพ่อแม่บังคับให้ดื่มนม ดูเหมือนเป็นทางเลือกเดียวให้เราได้แคลเซียม เพราะไปหาแคลเซียมจากผักไร่ท้องนา กะปิปลาร้า ไม่ค่อยได้แล้ว....

นมมีธาตุอาหารสำคัญ คนจึงต้องดื่มนม ดื่มกันมาเป็นพันปี ในวัยเด็กนมอุดมแร่ธาตุและไขมันย่อมดื่มได้ แต่ถ้าวัยผู้ใหญ่ตัวโตใหญ่เลิกสูงไปนานแล้ว แนะนำให้ดื่มนมพร่องไขมัน สูตรนี้ดีสำหรับคนขาดแคลเซียม ยังมีอีกสูตรคือดื่มน้ำเต้าหู้ บางคนเรียกเสียโก้ว่า "นมถั่วเหลือง" ฝรั่งบอกจะเรียกนม (Milk) ก็ได้

เพราะผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำใสๆ ขาวๆ ข้นๆ ล้วนใช้คำว่า milk นัยว่าอาจฟังดูดี มองเห็นภาพน้ำนมขาวสะอาด น่ากิน ดูมีสุขภาพ นมเหล่านี้มาจากพืช อยากเรียกอะไรก็ได้เช่น Soy milk, Coconut milk, Almond milk, Rice milk ก็ยังมี คนไทยก็มี "น้ำนมข้าว" จากยอดต้นข้าวอ่อน คั้นสกัดเป็นน้ำนม กินอร่อย บำรุงสุขภาพ

นมมีประโยชน์ต่อสุขภาพใครๆ ก็รู้ คนโบราณก็รู้ พระนางคลีโอพัตราก็รู้ เลยมีตำรับสวยด้วยน้ำนม คลีโอพัตราเกิดเมื่อ 69 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นกษัตริย์ปกครองอียิปต์โบราณราชวงศ์ปโตเลมี และเป็นชาวกรีกคนสุดท้าย ดังนั้นพระนางก็ไม่ใช่เชื้อสายอียิปต์โดยตรง

เมื่อพูดถึงอาบน้ำนม หลายคนจะนึกถึงคลีโอพัตรานอนแช่ในอ่างน้ำนม ความจริงก็มีจารึกไว้ว่า พระนางถนอมผิวด้วยการอาบน้ำนมจากนมลา แล้วใช้โยเกิร์ต (จากนมลากระมัง) ทาบำรุงผิว มีสูตรลดริ้วรอยจากขี้ผึ้ง ผสมกำยาน น้ำมันมะรม กับหญ้าไซเพอรัส หมักพอกหน้า คงจะเอาไว้สครับผิวด้วย พระนางจึงขึ้นชื่อว่าเป็นราชินีอียิปต์ผู้เลอโฉม

นักประวัติศาสตร์บางสำนักบอกว่า คลีโอพัตราเป็นคนผิวสี เพราะสืบเชื้อสายมาจากอัฟริกัน ด้วยเพราะคนอียิปต์เป็นคนผิวดำชาวอัฟริกัน พระนางอาจไม่สวยอย่างในหนัง (ที่แสดงโดย เอลิซาเบ็ธ เทเลอร์) ที่งามหยาดเยิ้มไปทั้งตัว แต่คนรุ่นต่อมาก็เชื่อว่า อาบน้ำนมแล้วผิวสวย สาวๆ ก็เลยชวนกันอาบน้ำแร่แช่น้ำนม พอกผิวด้วยส่วนผสมน้ำนม

กาลเวลาผ่านไปก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมนม ตั้งแต่ Milk lotion, Bath milk, Milk scub ขัดผิวผสมส่วนผสมพืชผลไม้ เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ผสมนมที่กินได้ ตั้งแต่ผสมน้ำนมดิบ น้ำนมพาสเจอร์ไรซ์ นมผง หรือกระทั่งกลิ่นของน้ำนม เติมสารที่ทำให้ความข้นหนืดและสีขาวสะอาดน่าใช้ กลายเป็นนมทาผิว หรือโรยผงนมแช่น้ำอุ่นอาบทั้งตัวเหมือนราชินีคลีโอพัตราผู้เลอโฉม

เรื่องของนมสร้างโลก เล่าได้ตลอดเวลา เพราะนมเป็นอาหารของสัตว์และคน ที่สร้างชีวิตให้อยู่ร่วมปฐพีเดียวกัน มาเนิ่นนานหลายศตวรรษ...

ส้ม...แสนรัก

คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ

พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย

ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

  • ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

  • ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

  • มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น

ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ

ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ

พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

ส้ม...การเลือกซื้อ

การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอนใช่มั้ยคะ

เสียวฟัน?

คุณด้วยหรือเปล่าที่เสียวแปล๊บๆ เวลากินอาหารหรือเครื่องดื่ม ถ้าสงสัยมีวิธีทดสอบง่ายๆ ลองใส่น้ำเย็นจัดในน้ำแข็งเต็มแก้ว ค่อยๆ ดื่มน้ำผ่านเข้าไปในช่องปาก ก็ถ้ามีอาการเสียวแปล๊บๆ นั่นละ ใช่เลย! เสียวฟัน?

ปกติฟันจะถูกปกป้องจากเคลือบฟันและเหงือก เมื่อเคลือบฟันสึกหรือหลุดออก หรือเหงือกร่นจากปกติ เนื้อฟันจะถูกเปิดออกให้สัมผัสกับตัวกระตุ้นภายนอก อาทิ ไอศกรีม กาแฟร้อน หรือแม้กระทั่งการแปรงฟันก็สามารถทำให้เกิดการเสียวฟันได้ สาเหตุที่เคลือบฟันสึกถึงชั้นเนื้อฟันมีหลายสาเหตุ เช่น การแปรงฟันแรงเกินไป กินอาหารที่มีความเป็นกรดสูง แปรงฟันทันทีหลังกินอาหารที่มีความเป็นกรด รวมไปถึงการนอนกัดฟัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้เหงือกร่นจนเห็นเนื้อรากฟัน เกิดจากโรคปริทันต์หรือโรคเหงือก การใช้แปรงสีฟันที่มีขนแข็งเกินไป การแปรงสีฟันนานเกินไป รวมไปถึงการใช้ไหมขัดฟันผิดวิธี

ใช้ยาสีฟันลดอาการเสียวอาจช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ดี อย่าลืมแก้ที่ต้นเหตุ!

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มะลิ ไม้ดอกที่ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับ

มะลิ ไม้ดอกที่ไม่ได้เป็นแค่ไม้ประดับ

พืชพรรณไม้ที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าในทางสมุนไพร ยังมีมากมายหลายชนิดที่มนุษย์เรากำลังศึกษาและวิจัย ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่พืชผักเท่านั้น ยังรวมไปถึงผลไม้ซึ่งบางชนิดให้คุณค่าทางสารอาหารสูงกว่าพืชผักที่เราทานอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีไม้ดอกไม้ประดับอีกมากที่แฝงไว้ด้วยคุณประโยชน์ทางยา ในการช่วยบำบัดและรักษาอาการเจ็บป่วยได้อย่างดีเยี่ยมโดยที่เราคาดไม่ถึง

มะลิ ดอกไม้ไทยแท้ เป็นหนึ่งตัวอย่างง่ายๆ ของไม้ดอกไม้ประดับ ที่แทบทุกบ้านต้องปลูกไว้อย่างน้อย 1 ต้น คุณคงนึกไม่ถึงสินะว่า มะลินี้มีอะไรดีๆ มากกว่าที่เห็นๆ กัน อย่างนั้นก็ต้องแนะนำให้รู้จักกันหน่อยแล้ว

มะลิ เป็นไม้ดอก-ไม้ประดับที่มีกลิ่นหอมเย็นใจให้ความรู้สึกสุขสงบ มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Jasmine ส่วนชื่อทางภาษานักพฤกษศาสตร์ที่ใช้เรียกขานกัน คือ Jasminum sambac (L.) Ait. เป็นพืชในวงศ์ Oleaceae ส่วนบ้านเราไม่ว่าจะเป็นภาคใด ที่ไหนก็เรียกว่า มะลิ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กที่มีความสูงไม่มากนัก สูงอย่างเต็มที่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 2 เมตร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอได้รับความนิยมจากคนรักต้นไม้ให้เป็นตัวเลือกแรกที่จะปลูกไว้ในบ้าน มะลิเป็นไม้พุ่มที่แตกแขนงกิ่งก้านสาขาออกมามากมาย กิ่งอ่อนจะมีขนสั้นๆ นุ่มมือ ใบเป็นแบบใบเดี่ยวออกในลักษณะตรงข้ามกัน ใบค่อนข้างกลม ปลายใบมน สีเขียวเข้ม ดอกเป็นแบบดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อก็ได้ โดยแต่ละช่อมี 2-3 ดอกกลีบเลี้ยงเป็นหลอดสีขาว กลีบดอกสีขาวนวลตา กลิ่นหอมอวล ไม่ฉุนจัดจนเกินไป เลี้ยงง่าย เติบโตไว ไม่ต้องการความเอาใจใส่ หรือต้องดูและอะไรเป็นพิเศษ

คุณค่าและคุณประโยชน์

คนสมัยก่อน นอกจากจะนิยมปลูกเอาไว้เป็นไม้ดอกไม้ประดับ เพื่อชื่นชมกับดอกสีขาวสวยนุ่มนวลชวนมองแล้ว เขายังเก็บดอกตูมมาใส่พานหรือถ้ามีเวลาว่างพอก็จะนำมาร้อยเป็นมาลัยกราบบูชาพระอีกด้วย กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลอยู่ในห้องพระ ให้ความรู้สึกสงบใจอีกต่างหาก

นอกจากนี้ยังนำดอกมะลิมาลอยในน้ำดื่มเย็นๆ ให้แขกผู้มาเยือนได้ดื่มกันอย่างชื่นอกชื่นใจ หรือจะนำดอกมะลิไปลอยในน้ำเชื่อมกินกับขนมหวานไทย ก็ทำให้มีกลิ่นหอมชวนทาน แต่ทั้งนี้ต้องมั่นใจว่าดอกมะลิที่นำมาใช้ ไม่ได้ฉีดยาฆ่าแมลง

ส่วนประโยชน์ทางสมุนไพรของมะลิก็มีแทบทุกส่วนก็ว่าได้ ไล่กันไปตั้งแต่รากเรื่อยไปจนถึงดอกทีเดียว รากของมะลิแก้ได้สารพัดโรค ทั้งปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก เลือดออกตามไรฟัน รวมทั้งช่วยรักษาหลอดลมอักเสบได้ด้วย หากนำรากมาฝนกินกับน้ำ แก้ร้อนในได้ดี คนที่ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับทรวงอก ให้นำรากมาประมาณ 1-1.5 กรัม ต้มน้ำกินก็ช่วยได้

ส่วนใบใช้แก้ไข้ที่เกิดจากอาการเปลี่ยนแปลงได้ดี รวมทั้งรักษาอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย หากนำใบมาตำแล้วละลายกับน้ำปูนใส แต้มแผลฟกช้ำ แผลเรื้อรัง โรคผิวหนังจะหายไวขึ้น ตลอดจนช่วยบำรุงสายตา และขับน้ำนมสตรีที่มีครรภ์ได้ด้วย

สุดท้ายคือส่วนของดอก ซึ่งนอกจากความสวยและความหอมแล้ว ยังแก้โรคบิด อาการปวดท้อง หากตำให้ละเอียดพอกที่ขมับ แก้อาการปวดหัวและปวดหูชั้นกลางได้ แถมยังช่วยรักษาแผลพุพอง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รวมทั้งเป็นยาบำรุงหัวใจได้อย่างดีเยี่ยมอีกขนานหนึ่งด้วย

นี่แหละคุณค่าของดอกไม้ไทยที่หาได้ง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว ใกล้ใจ และใกล้มือจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

Access your anger รู้ทันความโกรธ

ชีวิตในแต่ละวันทำให้อารมณ์ของคุณขุ่นมัวหรือเปล่า คุณตวาดแว้ดใส่หน้าคนที่คุณรักหรือไม่ คุณใช่ไหมที่ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับเดือดปุดๆ ด้วยความโกรธ ถ้าหากความโกรธคือตัวปัญหา ลองแปลงความโกรธ ให้เป็นพลังในทางบวก ตามแผนปฏิบัติต่อไปนี้

ขบวนรถไฟของคุณดีเลย์… ใครบางคนขับรถปาดหน้าคุณในระยะกระชั้นชิด... เอาอีกแล้ว แฟนคุณไม่ยอมล้างจานที่กองอยู่ในอ่าง เป็นคุณจะทำอย่างไร… คุณมองสิ่งเหล่านี้ อย่างเป็นเหตุเป็นผล หรือเลือดในกายเดือดพล่าน มือกำหมัดแน่น โมโหเพราะรถติด หงุดหงิดเพราะรถไฟใต้ดินแน่นเอี๊ยด ในสังคมปัจจุบัน เรื่องเล็กที่สุด อาจก่อให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงได้ และหากคุณต้องทนเก็บกดอารมณ์พลุ่งพล่านนั้นไว้ ก่อนจะปล่อยโฮเมื่อกลับถึงบ้าน การทำเช่นนี้เท่ากับทำลายสุขภาพ ความโกรธเป็นอารมณ์ธรรมชาติ และการเรียนรู้ในการรับมือกับมันจะช่วยให้จิตใจของคุณเป็นสุข

ความโกรธมีประโยชน์

“ความรู้สึกโกรธเป็นสิ่งดี เพราะความรู้สึกนี้บอกให้เรารู้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องเกิดขึ้นกับเรา ความโกรธเป็นสัญญาณเตือนที่ควบคุมคุณภาพของตัวเราเอง” อินกริด เจ คอลลินส์ ที่ปรึกษาด้านจิตวิญญาณบำบัดของ Health Plus บอก หากมีใครบางคนปฏิบัติกับเราไม่ดี ความโกรธจะเป็นสิ่งเหมาะสม ถ้าคุณแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ตรงกันข้ามหากคุณกับแฟนเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ ไม่แม้แต่ทะเลาะเบาะแว้งกันเวลามีปัญหา การเก็บแต่ความรู้สึกเช่นนี้ รังแต่จะทำลายชีวิตมากกว่าการมีปากเสียง ความโกรธสร้างปัญหาก็ต่อเมื่อคุณเก็บกดมันเอาไว้ หรือหัวเสียด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่ถูกคนเดินชนไหล่ก็โมโห จนบางครั้งถึงขั้นบานปลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

อย่าเก็บกด

“หลายคนไม่สามารถระเบิดอารมณ์โกรธหรือแสดงความโกรธในทางที่เป็นประโยชน์” อินกริดกล่าว ขณะที่การเก็บความเกรี้ยวกราด เป็นเรื่องปกติของการจัดการความโกรธ “การทำเช่นนี้ อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจ ถ้าเราปฏิเสธอารมณ์ของตนเอง ก็อาจมีผลให้การแสดงออกของอารมณ์ เป็นไปในทางทำลาย”

เดบอราห์ มาร์แชล-วอร์เรน ที่ปรึกษาด้านสะกดจิตบำบัดของ Health Plus กล่าว อาการปวดหลัง อาหารไม่ย่อย หรือความดันโลหิตสูงล้วนเป็นผลมาจากความโกรธที่ถูกอัดแน่นเอาไว้ภายใน

รู้จักความโกรธ

คุณทำอย่างไรเวลาโกรธ เกรี้ยวกราด ร้องไห้ฟูมฟาย หรือนิ่งเงียบ ถ้าอยากทราบคำตอบ ให้เริ่มด้วยการจดบันทึกประจำวัน ทุกครั้งที่คุณโกรธ ไม่ว่าเพราะคุณถูกคนด่าหยาบคาย หรือต้องยืนเข้าคิวนาน เขียนสิ่งที่เกิดขึ้นและวิธีตอบสนองต่อความโกรธ “คนเรารู้จักสร้างชุดการตอบสนองต่อสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ” เดฟ คุก โค้ช ชีวิตกล่าว “หากคุณรู้จักแยกแยะสาเหตุของความโกรธ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้าความรู้สึกโกรธ ก็จะช่วยให้คุณมีทางเลือกที่หลากหลายในการแสดงออก เวลาที่มีคนทำให้คุณโมโห”

แผนจัดการความโกรธ

คุณรู้จักความโกรธของตนเองมากขึ้นแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะปฏิบัติตามเคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต

จัดการความโกรธด้วยการสร้างจินตนาการ

“นึกย้อนกลับไปถึงครั้งสุดท้ายที่คุณโกรธ นึกไปถึงช่วงก่อนที่คุณจะเริ่มรู้สึกโกรธ นึกถึงความคิดของคุณในเวลานั้น คุณรู้สึกอย่างไร และเกิดอะไรขึ้น” ตอนนี้ให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง และมุ่งสมาธิไปที่ช่วงเวลานั้น ทันทีที่รู้สึกโกรธ ให้หยุด จากนั้นให้สั่งสมอง หยุดความโกรธ นึกภาพป้ายหยุดตัวโตๆ พร้อมเสียงใครบางคน ตะโกนให้หยุด หรือจะนึกถึงความรู้สึกเวลาที่มีมือมาแตะบ่าบอกให้ใจเย็นๆ อะไรก็ได้ที่ทำให้คลายความโกรธลงได้

นึกภาพเหตุการณ์ในทำนองนี้อีกสัก 2- 3 ครั้ง จนกระทั่งคุณสร้างความเชื่อมโยงที่เข้มแข็ง ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่คุณจะรู้สึกโกรธและสมองหยุดความโกรธ และครั้งต่อไปหากรู้สึกโกรธ คุณก็จะรู้จักวิธีทำลายและจัดการกับความโกรธนั้น

ละลายความโกรธ

อย่าปล่อยให้ความโกรธสะสมทับทวีคูณ จนทำให้ตัวคุณเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่เดินได้ “การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยขจัดความโกรธ”

คิก บ็อกซ์ ช่วยปลดปล่อยความเครียดและความโกรธที่สะสมอยู่ภายใน หรือคุณอาจชอบอะไรที่ระงับความฉุนเฉียวได้ เช่น โยคะ หรือไทชิ

เบ็ธ แมคโค ที่ปรึกษาด้านโฮโมอีโอพาธี ของ Health Plus บอกว่า เลือกอะไรก็ได้ที่ส่งผลดีกับคุณมากที่สุด หากอยากระบายความโกรธ ให้เปิดเพลงดังๆ แดนซ์ให้กระจาย แต่ถ้าต้องการควบคุมอารมณ์ตนเอง ทำจิตใจสงบนิ่ง คุณต้องเลือกนั่งสมาธิ

ทำใจให้สุขุมเยือกเย็น

“เวลาโมโห คุณจะลุกขึ้นสู้หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เวลาโกรธ สารอะดรีนาลินจะไหลอาบร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะสู้หรือหนีจากสถานการณ์นั้น การหายใจลึกๆช่วยได้ ” มาริลีน เดโวนิช โค้ชชีวิตและที่ปรึกษาด้าน Neuro Linguistic Programming (NLP) บอก “หายใจเข้าลึกๆ ผ่านจมูก และหายใจออกทางปาก โดยหายใจออกให้ยาวหายใจเข้า 2 เท่า ทำซ้ำ 5 ครั้ง”

เปิดอกพูดคุย

“พูดคุยกับคนที่เป็นกลางและเห็นอกเห็นใจ เช่น เพื่อนผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษา หรือแพทย์” เบธกล่าว “ถ้าคุณโกรธใครสักคน จงบอกเขาให้รู้ตัวด้วยคำพูดประมาณว่า ‘ฉันรู้สึกโกรธที่คุณทำแบบนั้น’ ใช้คำว่า ‘ฉันรู้สึก’ ดีกว่าใช้คำว่า ‘คุณทำให้ฉันรู้สึก’ ซึ่งนั่นจะทำให้ช่องว่างระหว่างคุณสองคน ห่างออกจากกันเรื่อยๆ การเข้าใจต้นตอที่แท้จริงของความโกรธเป็นสิ่งสำคัญ คุณใช่ไหมที่ขึ้นเสียงกับแฟน เพียงเพราะเขาทิ้งผ้าเช็ดตัวเปียกๆ บนพื้น หรือคุณพกความหงุดหงิดจากที่ทำงานมาระบายใส่คนที่บ้าน ลองพูดคุยกับใครสักคน เพื่อจะได้ช่วยกันหาสาเหตุที่แท้จริงของอารมณ์ฉุนเฉียวที่เกิดกับคุณ”

ใช้ความโกรธเปลี่ยนแปลงชีวิต

เปลี่ยนความโกรธของคุณเป็นพลังในทางบวก “อารมณ์ที่รุนแรง ช่วยผลักดันให้คุณก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อจะได้รู้จักตนเอง” อินกริดบอก วาดแผนภูมิวงกลมลงบนกระดาษ พร้อมกับแบ่งวงกลมออกเป็น 7 ส่วน ให้เขียนหัวข้อลงบนแต่ละส่วน ประกอบด้วย สุขภาพ หน้าที่การงาน การเงิน เพื่อนฝูงและครอบครัว ความรัก ความสนุกสนานและนันทนาการ สิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้าส่วนตัว

จากนั้นเขียนสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อเพิ่มพูนสิ่งที่คุณเห็นว่ายังขาดอยู่ในแต่ละส่วน ตัวอย่างเช่น ถ้าสัดส่วนความก้าวหน้าส่วนตัวดูน้อยไป ให้ลองไปเข้าชั้นเรียนภาคค่ำ เพื่อเพิ่มเติมความรู้ใช้ พลังที่ได้จากการเผาผลาญความโกรธ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้

ขอบคุณข้อมูลจาก Health plus

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า
อาหารทะเลหรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า "ซีฟู้ด" ที่รวมเอาของอร่อยจากท้องทะเลหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึก ซึ่งหลายคนหลงใหลติดใจในรสชาติกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อ๊ะ อ๊ะ...อย่าเพิ่งดูถูกคิดว่า ซีฟู้ดมีความอร่อยเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะว่าไปแล้วคุณค่าและประโยชน์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวนี่ต่างหากที่เป็นไม้เด็ดทำเอาใครต่อใครติดใจหลงรักเข้าเต็มเปา

อาหารทะเลนอกจากจะเป็นโปรตีนชั้นดีแล้ว ยังมีความพิเศษตรงที่มีแร่ธาตุสำคัญอย่าง ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 ,บี 2 และบี 6 อีกด้วย

เนื้อปลา
เป็นพระเอกในหมู่อาหารทะเลทั้งมวล เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไร้คาร์โบโฮเดรต แถมมากวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลานุ่ม ๆ หรือปลาเล็กปลาน้อยกรุบกรอบ ล้วนเหมาะกับคนทุกเพศวัย เลือกอร่อยกันได้อย่างสบายใจเลยล่ะค่ะ

กุ้ง
กุ้งสด กินแล้วให้โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต บำรุงร่างกายสดชื่นให้แข็งแรง แต่ถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่กินได้ทั้งตัวพร้อมเปลือก จะยิ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแกร่ง เหมาะกับว่าที่คุณแม่ รวมถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่กลัวโรคกระดูกพรุนถามหาเป็นอันมาก

ปลาหมึก
เป็นแหล่งโปรตีนมีแร่ธาตุไม่น้อยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เนื้อขาวๆ ของปลาหมึกมีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่ กินบ่อยๆ คงไม่ไหว แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งพอให้หายคิดถึง น่าจะกำลังดีจ้ะ

ปู-หอย
ในเนื้อปูเนื้อหอยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมไปถึงวิตามินที่มีประโยชน์ ทว่าคาร์โบโฮเดรตที่มีอยู่ร้อยละ 2 ในตัวอาจเป็นอุปสรรคทำให้ตามใจปากกินมากๆ ไม่ได้ เผลอใจกินเข้าไปเยอะน้ำหนักขึ้นอ้วนได้ง่ายๆ เลยเชียวนะ

สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เมื่อกินอาหารทะเล คือ ความสดและความสะอาด ยิ่งสดยิ่งอร่อย ยิ่งสะอาดยิ่งปลอดภัย อย่าลืมซิคะว่าอาหารทะเลมักจะมีแบคทีเรียปนเปื้อนมากับผิว เปลือก หรือกระดองได้ เพื่อความมั่นใจไม่อยากเสี่ยงกับอาการท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เพราะอาหารทะเลทำพิษแล้วละก็ ต้องล้างผิว แปรงเปลือกหรือกระดอง ให้สะอาดก่อนเพื่อขจัดแบคทีเรียที่มีอยู่ไปส่วนหนึ่ง

ส่วนกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียไปได้ถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คราวนี้คุณก็จะอร่อยกับซีฟู้ดจานโปรดได้อย่างปลอดภัยแล้วล่ะคะ

ไอโอดีน...สำคัญใช่ย่อย
ในอาหารทะเลมีไอโอดีนอยู่ถึง 54 ไมโครกรัมต่ออาหารที่กินได้ 100 กรัม ซีฟู้ดจึงเป็นแหล่งไอโอดีนที่สำคัญของทุกๆ คน แม้ว่าปริมาณแร่ธาตุที่ชื่อว่าไอโอดีนที่ร่างกายต้องการจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขาดได้ไม่เพียงพอขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้อย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดโรคคอพอก สมองทำงานไม่ปกติ มีพัฒนาการและเรียนรู้ช้า หรือที่เรียกว่า "โรคเอ๋อ" และถ้าขณะอุ้มท้องอยู่แม่ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป ลูกในท้องก็ไม่ค่อยเติบโตและเสี่ยงกับการพิการ หูหนวก เป็นใบ้ ปัญญาทึบได้อีกด้วย

ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราจึงควรทานอาหารทะเลอย่างน้อยอาทิตย์ 2-3 ครั้ง และใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารเป็นประจำค่ะ

นอนมากเกิน-น้อยเกิน เสี่ยงเบาหวาน

คนที่นอนมากเกินไปหรือนอนน้อยเกินไป มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคเบาหวาน

ผลวิจัยพบว่า คนที่ไม่ได้นอนคืนละ 7-8 ชั่วโมงมีแนวโน้มสูงขึ้น 2 เท่าครึ่งที่จะมีน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ซึ่งโยงกับโรคเบาหวาน

นักวิจัยซึ่งศึกษาพฤติกรรมของอาสาสมัคร 276 คนเป็นเวลา 6 ปี บอกว่ายังไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Sleep Medicine แนะนำว่า การนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนนับเป็นจำนวนที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ในการป้องกันโรคต่างๆ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ทราบสาเหตุของเรื่องนี้ แต่ผลการศึกษาก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างแบบแผนการนอนกับ โรคอ้วน โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิต

โรคอ้วนมีส่วนเชื่อมโยงกับเบาหวาน แต่โอกาสเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเบาหวานอันเนื่องจากนิสัยในการนอนนั้นก็ยังคง มีอยู่แม้ว่าได้ตัดปัจจัยเรื่องโรคอ้วนออกไปแล้ว

งานวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ว่า การอดนอนอาจรบกวนการผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหารที่มีแคลอรีสูง ความหิว และการใช้พลังงาน

นักวิจัยแองเจโล เทรมเลย์ บอกว่า งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาต่อเนื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาการ นอนกับความเสี่ยงต่อเบาหวาน ความเสี่ยงนี้ยังคงมีนัยสำคัญแม้ว่าได้นำปัจจัยเรื่องดัชนีมวลกายกับเส้นรอบ เอวมาร่วมพิจารณาด้วยแล้ว "คำแนะนำก็คือ เราควรนอนให้เต็มตื่น แต่สำหรับบางคนเรื่องนี้ก็พูดง่ายแต่ทำยาก"

งานสำรวจหลายชิ้นพบว่า ผู้คนกำลังใช้เวลากับการนอนหลับน้อยลง ชาวอังกฤษวัยผู้ใหญ่ราว 1 ใน 3 มักนอนคืนละ 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น ระยะเวลาการนอนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ชั่วโมง

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ระวัง! โรคร้ายหน้าฝน

แต่ละฤดูกาลมักมีโรคประจำฤดูให้เราต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ยิ่งยามนี้ฤดูกาลเกิดปรวนแปรอันมีสาเหตุจากภาวะโลกร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็พัฒนาสายพันธุ์ตาม ก่อเกิดโรคใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า อาจจะยากต่อการรับมือและการดูแลตัวเองอยู่บ้าง เราจึงจำเป็นต้องหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน

1.โรคไข้สมองอักเสบ
เกิดจากการอักเสบของเนื้อสมองทั่วๆ ไปหรือเฉพาะบางส่วนจากเชื้อไวรัส เนื่องจากสมองอยู่ติดกับเยื่อหุ้มสมองจึงอาจพบการอักเสบของเยื่อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองด้วยได้ เมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง หากรอดชีวิตมักมีความพิการหรือผิดปกติทางสมองตามมา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจะแตกต่างไปตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก สภาวะอากาศฤดูกาล โอกาสในการสัมผัสกับสัตว์นำโรค และภูมิต้านทานของผู้ป่วย

อาการ
มี 2 ลักษณะ คือติดเชื้อเฉียบพลัน มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร กลัวแสง คอแข็ง ชัก พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงภายในเวลา 1 สัปดาห์ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นเรื้อรังอาการแสดงจะค่อยเป็นค่อยไป อาจมีไข้หรือไม่ก็ได้ โรคไข้สมองอักเสบยังไม่มียาเฉพาะรักษา เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ

การป้องกัน
1.หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด ยุงนี้จะกัดเวลาพลบค่ำ
2.ไม่ควรเลี้ยงหมูในบริเวณใกล้บ้านที่อยู่อาศัย
3.ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน แล้วฉีดเพิ่มอีก 1 ครั้งหลังจากฉีดเข็มที่ 2 ได้ 1 ปี ควรจะเริ่มให้วัคซีนนี้เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง

2.โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
คือ การที่ร่างกายมีภาวะการถ่ายอุจจาระเหลวจำนวน 3 ครั้ง ต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้ง ใน1 วัน หรือถ่ายเป็นมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้งสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อแบคทีเรียไวรัส โปรโตซัว ปรสิต และหนอนพยาธิ
อาการ
ในทารกและเด็กเล็กๆ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาจมีไข้ต่ำๆ เป็นหวัด ต่อมามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และถ่ายอุจจาระเหลวตามมา โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการอยู่นาน 1-6 วัน สามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหารและการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
การรักษา
1.ให้สารน้ำละลายเกลือแร่โอ อาร์ เอส หรือของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
2.ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำข้าว หรือแกงจืด ไม่งดอาหารเพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
3.เมื่ออาการโรคอุจจาระร่วงไม่ดีขึ้น ถ่ายเป็นน้ำมากขึ้นอาเจียนบ่อย กินอาหารไม่ได้ กระหายน้ำ กว่าปกติ มีไข้สูง ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือปนเลือด ก็ควรไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์

3.โรคเยื่อบุตาอักเสบ
เยื่อบุตาอักเสบ อาจเกิดจากภูมิแพ้หรือเกิดจากการติดเชื้อโรคก็ได้ อาการทางภูมิแพ้มักจะเกิดที่ตาเนื่องจากตาเป็นอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงมาก เส้นเลือดเหล่านี้ตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ได้ง่าย และที่สำคัญตาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อม ภายนอก เช่น เกสรดอกไม้ รังแคสัตว์ ยา ควันบุหรี่ สารภูมิแพ้เหล่านั้นจะละลายในน้ำตา และกลับสู่เยื่อบุตาซึ่งจะสร้างสารต่อต้านสารภูมิแพ้ที่เรียกว่า Antibody IGE เมื่อภูมิจับกับ Antibody จะเกิดการหลั่งสารหลายอย่างทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้น ตาจะมีอาการเคืองแดงและมีน้ำตาไหล
การดูแลตัวเอง
เมื่อเกิดอาการเคืองตาและสงสัยว่าเกิดจากการภูมิแพ้ ควรจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งก่อภูมิแพ้ทันที อาจจะซื้อน้ำตาเทียมซึ่งจะทำให้ลดอาการบวมและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ ใช้ผ้าเย็นปิดตาเพื่อลดอาการบวม อาจจะซื้อยาแก้แพ้รับประทาน หากดูแลตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ ซึ่งจะให้ยาหยอดตาแก้แพ้
การใช้ยาเพื่อรักษา
ใช้ยาแก้แพ้ antihistamine ซึ่งใช้ได้ทั้งชนิดยาหยอดตาและยารับประทาน ยาหยอดตาเพื่อให้หลอดเลือดหดตัวเพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุตา และยาหยอดตา steroid

4.โรคไข้ฉี่หนู (Leptospirosis)
เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียที่มีรูปร่างเป็นเกลียวมีชื่อว่า Leptospirosis จึงเรียกชื่อโรคนี้ว่า เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว สุกร โค กระบือ ม้า แพะ แกะ ฯลฯ และที่สำคัญคือหนู แต่สัตว์ต่างๆ อาจไม่แสดงอาการป่วย
การติดต่อ
ติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยสัตว์ที่เป็นโรคนี้จะขับถ่ายเชื้อโรคออกมากับปัสสาวะ เชื้อจะอาศัยอยู่ในดินที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง และเข้าสู่คนทางผิวหนังอ่อน เช่น ซอกนิ้วมือและเท้า บาดแผลหรือเยื่อเมือก ดังนั้นมักจะพบโรคนี้ในคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์ เช่น สัตวบาล เกษตรกร และผู้มีอาชีพสัมผัสกับน้ำหรือคนที่ย่ำน้ำในที่น้ำท่วมขังนานๆ
อาการ
คนที่ได้รับเชื้ออาจมีหรือไม่มีอาการ ในผู้ที่มีอาการมักแสดงหลังจากได้รับเชื้อ 2-3 วัน จนถึง 2-3 สัปดาห์ อาการที่สำคัญ คือ มีไข้ ปวดศีรษะ ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่อง ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง ไตวาย หรืออาการทางสมองและระบบประสาท และอาจถึงตายได้ (อัตราการตายอาจสูง ถึงร้อยละ 10 –40)
การรักษา
โรคนี้หากรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ โดยใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะโรคได้ผลดีกว่าปล่อยให้มีอาการรุนแรงแล้วจึงรักษา เนื่องจากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง เพราะอาจเป็นอันตรายจากการแพ้ยา หรือใช้ยาที่ไม่ถูกต้องได้ ดังนั้นควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง
การป้องกัน
ไม่เดินย่ำหรือแช่น้ำอยู่ในที่ท่วมขัง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ให้ป้องกันการสัมผัสน้ำโดยใช้ รองเท้าบู้ทยาง ถุงมือยาง เป็นต้น ควรฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยง เพื่อไม่ให้เป็นรังโรค กำจัดหนู และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของหนู

5.โรคปวดศีรษะ (Headache)
ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ใหญ่เคยปวดศีรษะมาแล้วไม่มากก็น้อย หากเป็นมากก็จะมีผลกระทบต่อการทำงาน การปวดศีรษะมีหลายชนิดชนิดที่พบบ่อยคือ
ปวดศีรษะแบบเทนชั่น (tension headache ) เกิดจากกล้ามเนื้อหนังศีรษะและกล้ามเนื้อ โดยรอบมีอาการเกร็ง การปวดนี้จะปวดอยู่รอบนอก ส่วนมากจะมีปัจจัยมาจากความเครียด กังวลเรื่องงาน และความแปรปรวนทางอารมณ์ต่างๆ
ปวดศีรษะแบบไมเกรน (migraines) จะปวดรุนแรง ปวดแบบตุ๊บๆ ของศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง คนไข้บางคนมีอาการคลื่นไส้และมีความรู้สึกไวต่อแสง ตาสู้แสงไม่ได้ ปวดแบบไมเกรนนี้จะปวดนาน ปัจจัยที่ทำให้เป็นไมเกรน คือพักผ่อนน้อย นอนดึก น้ำตาลในเลือดต่ำ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาก อารมณ์หงุดหงิดบ่อย หรือร่างกายอ่อนเพลียหลังจากตรากตรำทำงานมาก ปวดแบบไมเกรนมักเกิดกับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ มักปวดในขณะที่มีประจำเดือนหรือก่อนมีประจำเดือนและมักจะมาตามพันธุกรรม
การรักษา
ยารักษาไมเกรนนอกจากจะมียาแก้ปวดทั่วไปแล้ว มักจะต้องใช้ยาพวกเออร์กอต (ergotderivatives) ร่วมด้วยจึงหายปวด หากรับประทานยาเออร์กอตภายใน 2 ชั่วโมงที่เริ่มเป็น มักจะหายปวดได้เร็ว สำหรับคนที่เป็นบ่อยจะใช้ยา flunarizine รับประทานก่อนนอนเพื่อป้องกันการปวดได้

6.โรคปอดอักเสบ
โรคปอดอักเสบ (นิวโมเนีย-Pneumonia) หรือ “โรคปอดบวม” เป็นโรคที่อันตรายและพบว่าที่ป่วยเป็นโรคนี้มากในช่วงฤดูฝน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรคต่ำ โดยมากจะพบกับผู้ป่วยที่เคยมีอาการไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอมซิลอักเสบ หัด อีสุกอีใส ไอกรน ฯลฯ อยู่แล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีอันตรายเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอื่นๆ แทรกตามมา เช่น ฝีในปอด มีหนองในช่องหุ้มปอด, ปอดแฟบ, หลอดลมพอง, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ, เยื่อบุช่องท้องอักเสบ, ข้ออักเสบเฉียบพลัน, โลหิตเป็นพิษ ที่สำคัญคือภาวะขาดออกซิเจนและภาวะขาดน้ำ ซึ่งถ้าพบในเด็กเล็กและคนแก่ อาจจะทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
สาเหตุ
โรคนี้ส่วนใหญ่เกิดมาจาก การติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย (ไข้หวัดใหญ่ หัด และอีสุกอีใส ) เชื้อรา และสารเคมี ฯลฯ โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน การสำลักเอาสารเคมีหรือเศษอาหารเข้าไปในปอด การแพร่กระจายของเชื้อไปตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา ให้น้ำเกลือ การอักเสบในอวัยวะส่วนอื่น เป็นต้น
อาการ
มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39 – 40 องศาเซลเซียส และอาจมีอาการจับไข้ตลอดเวลา หนาวสั่นหายใจเร็วแต่ถี่ๆ(หอบ) หน้าแดง ริมฝีปากแดง ลิ้นเป็นฝ้า ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ แต่ต่อมาเสมหะมีสีขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียวหรือมีเลือดปน ส่วนอาการที่พบในเด็กโตและผู้ใหญ่นั่น อาจมีอาการเจ็บแปล๊บในหน้าอกเวลาหายใจเข้า หรือเวลาไอแรงๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้องด้วย ในเด็กเล็กอาจมีอาการปวดท้องท้องอืด ท้องเดิน อาเจียน กระสับกระส่าย หรือชัก ถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการตัวเขียว ริมฝีปากเขียว ลิ้นเขียว และเล็บจะเริ่มกลายเป็นสีเขียว
การรักษา
1.สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มเป็น ยังไม่มีอาการหอบให้ดื่มน้ำมากๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ให้ยาลดไข้และยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการดีขึ้นใน 3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะต่อไปอีก 1 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นหรือกลับมีอาการหอบควรไปโรงพยาบาล
2.ถ้ามีอาการหอบ หรือสงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ รีบให้ยาปฏิชีวนะ แล้วส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ควรให้น้ำเกลือระหว่างเดินทางไปด้วย

7.ไข้เลือดออก
เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลาย (Aedes aegyti) ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกโดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู้คน เชื้อจะอยู่ในร่างกายคนประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็ก โรคนี้ระบาดในฤดูฝน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวันตามบ้านเรือน และโรงเรียน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่งๆ ตามภาชนะที่มีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง
วิธีป้องกัน
พยายามไม่ให้ยุงกัด ปราบและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ซึ่งชอบวางไข่ในน้ำสะอาดที่อยู่นิ่งๆ ตามภาชนะต่างๆ ที่มีน้ำขัง ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกไม่ควรให้ยุงกัดภายใน 5 วันแรกของโรค เพราะผู้ป่วยยิ่งมีไวรัสอยู่ในเลือดทำให้แพร่เชื้อไปให้คนอื่นได้
8.โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ เอช 1 เอ็น 1
หรือเราอาจเรียกกันติดปากว่า "ไข้หวัดใหญ่ 2009" เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศเม็กซิโก อเมริกา และแคนาดา กระทรวงสาธารณสุข ประกาศคำแนะนำเรื่องโรคไข้หวัดใหญ่ฉบับที่ 5 สำหรับประชาชนทั่วไป นักเรียน และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในการปฏิบัติตัวป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดนี้ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรค รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สร้างสุขนิสัยในการป้องกันโรคเน้นกินของร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ และใช้หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอ ผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศหากมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศภายใน 7 วัน แนะนำไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อตรวจโรค

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เตือนควันธูป ส่งผลต่อสุขภาพ

นักวิชาการเตือนปชช.ควันธูปส่งผลต่อสุขภาพ

นักวิชาการเตือนประชาชน ควันธูปส่งผลต่อสุขภาพ ก่อโรคมะเร็ง และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ นักวิชาการ 1 คณะวิจัยสถาบันจุฬาภรณ์ ร่วมกับสำนักโรคติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนที่จุดธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษและบุคคลที่ถึงแก่กรรม เสี่ยงกระทบต่อสุขภาพเป็นมะเร็งในระยะยาว

นอกจากนี้ การจุดธูปยังเป็นการเร่งให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภาวะโรคร้อน แนะประชาชนควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจุดธูป คือ ควรเปลี่ยนให้ธูปมีขนาดสั้นลง หรือใช้แบบชนิดไฟฟ้า

ทั้งนี้หากจำเป็นต้องจุดธูป ควรตั้งกระถางในที่ถ่ายเทอากาศได้สะดวก เนื่องจากในปีหนึ่งมีประชาชนทั่วโลกจุดธูป คิดเป็นปริมาณเกือบ 100,000 ก้านต่อปี ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สมีเทนออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากทุกคนไม่จุดธูปก็จะสามารถลดภาวะโลกร้อนลงได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำงานในสถานที่มีการจุดธูปมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง 3 ชนิด ขณะที่ผลวิจัยยังชี้ว่า จะทำให้ความสามารถในการซ่อมแซมความผิดปกติของสารพันธุกรรม DNA ในร่างกายลดลงอีกด้วย

อัมพาต เพราะน้ำอัดลม

อัมพาต เพราะน้ำอัดลม (health and cuisine)

ดร.โมเสส เอลิซาฟ อายุรแพทย์ หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโออันนินา เผยว่า การดื่มน้ำอัดลมมากๆ (โดยเฉพาะน้ำสีดำ) กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนอกจากทำลายฟัน ทำให้กระดูกผุ ส่งผลถึงระบบเมตาโบลิซึม และเป็นสาเหตุของเบาหวานแล้ว ยังก่อให้เกิดภาวะไฮโปคาเลเมียหรือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้ กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ไม่มีแรง จนอาจถึงขั้นอัมพฤกษ์ อัมพาตอีกด้วย

จากการเก็บข้อมูลในผู้ป่วยที่ดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 - 9 ลิตรต่อวันต่อเนื่องเป็นประจำ พบว่า คนไข้มาพบหมอด้วย อาการเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อไม่มีแรง ไม่อยากอาหาร คล้ายจะอาเจียนตลอดเวลา ผลการตรวจเลือดพบ โพแทสเซียมในเลือดต่ำและมีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันร่วมด้วย แต่หลังจากให้หยุดดื่มน้ำอัดลมและหันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้ว พบว่า อาการป่วยดังกล่าวหายไป

ประมาณการกันว่า ในแต่ละปีคนทั้งโลกดื่มน้ำอัดลมราว 500 ล้านลิตร หรือประมาณ 80 ลิตรต่อคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่ดื่มกันมากถึงคนละ 200 ลิตรต่อปี
รู้อย่างนี้แล้วลดปริมาณการดื่มลงบ้างเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าครับ

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อย่ามองข้าม...เชื้อโรค ในห้องน้ำ

อย่ามองข้าม...เชื้อโรค (ในห้องน้ำ)
ห้องน้ำ...มุมที่เราหลายคนระวังตัวน้อยที่สุดในบ้าน แต่รู้ไหมคะว่าถ้าดูแลไม่ดีพอในห้องน้ำจะกลายเป็นแหล่งชุมนุมของเชื้อโรคขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากมายเชียวล่ะ

1. ผ้าม่านพลาสติก
มีคำยืนยันจากนักจุลชีววิทยาแล้วค่ะว่า คราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำนั้นก็คือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่จะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโตได้ดีก็คือละอองจากการเรอ จาม และไอของคนค่ะ

Safety Tip ควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรืออย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง

2. ฟองน้ำถูตัว
ฟองน้ำที่ใช้ถูตัวที่เป็นสิ่งชำระความสกปรกตามซอกต่างๆ ของร่างกาย แถมยังต้องเปียกชื้นอยู่เกือบตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างดี

Safety Tip คุณแม่ควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังใช้ และควรแขวนตากให้แห้งด้วย

3. แปรงสีฟัน
ห้องน้ำมีเชื้อโรคหลายชนิด หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือโรตาไวรัสและเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ติดโดยการสัมผัสผ่านทางจมูกและปาก เพราะฉะนั้นต้องระวังของใช้ส่วนตัว(ชิ้นเดียว)ที่มักวางอยู่ในห้องน้ำและต้องเอาเข้าปากอย่างแปรงสีฟันเป็นพิเศษ

Safety Tip หากล่องเก็บแปรงสีฟันโดยเฉพาะที่มีรูระบายอากาศ เพื่อป้องกันความเปียกชื้น และล้างแปรงสีฟันทุกครั้งก่อนแปรงฟัน

4. อ่างล้างหน้า
เป็นที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ชอบความเปียกชื้นเป็นพิเศษ ในบางบ้านอาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาศัยอยู่ด้วย

Safety Tip ทำความสะอาดอ่างล้างหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรทำความสะอาดทุกวัน

5. ชักโครก
เครื่องใช้ที่รองรับของเสียทั้งหลายจากร่างกาย ไม่ต้องบอกก็พอเดากันได้ว่าการทำธุระส่วนตัวแต่ละครั้งจะมีเชื้อโรคแพร่กระจายมากมายแค่ไหน แถมใต้ฝารองนั่งก็ยังมีเชื้อโรคต่างๆ แฝงอยู่ไม่น้อย

Safety Tip ล้างชักโครกด้วยน้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกอาทิตย์ และอย่าลืมยกฝาชักโครกขึ้นขัดทำความสะอาดด้วยนะคะ

6. ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้า
เพราะเปียกชื้นอยู่แทบตลอดเวลา หากคุณแม่มีแต่เช็ด เช็ด เช็ด แล้วก็เช็ด แต่ไม่เปลี่ยนผืนบ้าง ผ้าเช็ดมือ-เช็ดเท้าจะกลายเป็นที่อาศัยของเชื้อราไปโดยปริยาย

Safety Tip ควรแขวนผ้าเช็ดมือหรือวางผ้าเช็ดเท้าในที่ลมผ่าน หรือเอาออกมาตากให้แห้งหลังใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคที่รักความอับชื้นทั้งหลาย

ห้องน้ำอากาศไม่ถ่ายเทและชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอดทีเดียว กิจวัตรประจำวันทุกวันของเราในห้องน้ำก็มีส่วนทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้อย่างดี ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือคุณแม่ต้องรู้เท่าทันจุดที่มีเชื้อโรคหมักหมมหรือก่อตัวได้ง่ายและหมั่นทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อโรคนั้นเป็นประจำค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก:MOMYPEDIA

เทคนิคสู้ไข้หวัดใหญ่ สำหรับคนทุกช่วงวัย

เทคนิคสู้ไข้หวัดใหญ่ สำหรับคนทุกช่วงวัย
ในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กำลังแพร่ไปทั่วโลก เราพูดถึงวิธีป้องกันโรคหลากหลายวิธี แต่ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ใครสักคนอาจจามใส่เรา และแพร่โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้ออื่นๆ ให้กับเราได้เสมอ คนเหล่านั้นอาจจะเป็นคนแปลกหน้าในลิฟต์ เพื่อนร่วมงานที่ไม่ยอมลาป่วย

การหลีกเลี่ยงจากคนที่มีความเสี่ยงจะแพร่เชื้อโรค หรือสถานที่เสี่ยงอาจเป็นวิธีการที่ดีในการป้องกันตนเอง แต่การสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายต่างหากที่สำคัญที่สุดสำหรับการป้องกันโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อโรคต่างๆ

เมื่อเราอายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงไปตามธรรมชาติ เราจึงมีคำแนะนำสำหรับคนในวัยต่างๆ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับโรคติดเชื้อ และเชื้อโรคที่กำลังคุกคามโลก

คนวัย 30 ลดน้ำตาล และแอลกอฮอล์
วัย 30 ปีเป็นช่วงชีวิตการทำงาน การสร้างครอบครัว คนวัยนี้ยังมีสังคมมากขึ้น ทั้งอาหารว่างในงานสัมมนา สังสรรค์กับเพื่อนในวันสุดสัปดาห์ วิถีชีวิตเหล่านี้ล้วนทำลายระบบภูมิคุ้มกัน มีผลการศึกษาว่า เพียงได้รับน้ำตาลจากน้ำอัดลมเพียง 1 กระป๋อง สามารถทำให่ระบบภูมิคุ้มกันลดประสิทธิภาพลงไปได้ถึง 30 % เป็นเวลาตั้งแต่ 3 ชั่วโมงขึ้นไป
โดยน้ำตาลทำให้เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันบางเซลล์หยุดทำงาน และทำลายความสามารถในการปกป้องและทำลายเชื้อแบคทีเรีย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงไม่กี่แก้วต่อสัปดาห์จะทำให้จำนวนเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างไว้ลดลงไป
นอกจากลดปริมาณน้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว คนวัยนี้ควรเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ให้มากขึ้น เช่น อาหารจำพวกข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท แอปเปิล และแบคทีเรียชนิดดีจากโยเกิร์ตก็สามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส และแบคทีเรียชนิดต่างๆ ได้
พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารที่มีไฟเบอร์สูง จำพวกซีเรียล หรือจมูกข้าวโพดผสมผสานอยู่ในมื้อเช้า อาหารเหล่านี้ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และอายุยืนยาว

ออกกำลังกายอย่างชาญฉลาด
การออกกำลังกายที่หนักเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ช้าลง แต่มีผลการศึกษาที่แสดงว่า การออกกำลังกายที่ได้ออกแรงอย่างเหมาะสมช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเคลื่อนไหวในกระแสเลือดได้อย่างอิสระ และตรวจจับเชื้อเบคทีเรียหรือไวรัสได้ดีขึ้น โดยการออกกำลังกายเบาๆ เช่น แอโรบิค วิ่ง หรือเดินประมาณ 20 นาที และออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงมากๆ อีก 15-20 นาที จะช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันได้ดี หรือจะฝึกโยคะ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วยผ่อนคลายจุดตึงเครียดต่างๆ ในร่างกายก็ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้นได้เช่นกัน

วัย 40 ปีเข้านอนให้เร็วขึ้น
คนวัยนี้ควรพยายามเข้านอนให้เร็วขึ้น พยายามทำให้ช่วงเวลาก่อนเข้านอนเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายเพื่อให้นอนหลับได้สนิท การนอนหลับช่วยช่อมแซมระบบภูมิคุ้มกันที่สึกหรอ และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่การงีบหลับก็ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้นได้ เพราะเมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า นั่นแสดงว่าร่างกายส่งสัญญาณเตือนเราแล้วว่าต้องการการพักผ่อนเพื่อชาร์จพลังงานให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง

หาวิธีผ่อนคลายอย่างแท้จริง
การหาเวลาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริงจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราต่อสู้กับไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อโรคอื่นๆ ได้ดีขึ้น เพราะความเครียดเรื้อรัง ไม่ว่าจากชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิง หรือจากหน้าที่การงานทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เชื่องช้าลง เมื่อเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะไม่สามารถทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคได้อย่างทันท่วงที
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า การทำสมาธิเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

วัย 50 ปี ขึ้นไปเพิ่มพลังให้ภูมิคุ้มกัน
ในวัย 50 ปี ความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเติมพลังให้กับระบบภูมิคุ้มกัน คนที่อยู่ในวัย 50 ปีขึ้นไปควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น แครอท ส้ม แอปเปิล และผักใบเขียวให้มากขึ้น
ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์คเล่ย์ แนะนำว่า บร็อกโคลี และผักจำพวกกระหล่ำปลีช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ดีมาก เพราะว่าในบร็อกโคลี และกระหล่ำปลีมีสารต้านมะเร็งตัวสำคัญผสมอยู่

ตามหาความฝันอีกครั้ง
ผลการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลีส เผยว่า การหันกลับไปทบทวนเกี่ยวกับความฝันที่ยังไม่เคยเป็นจริงจะทำให้เรามองเห็นความหมายของชีวิตได้ชัดเจนขึ้น และส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ในขณะที่นักวิจัยยังไม่แน่ใจว่าทำไมผลการศึกษาจึงออกมาเช่นนี้ แต่มีทฤษฎีหนึ่งแนะนำว่า การรู้ว่าตัวเองต้องการทำสิ่งใดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ถูกทำลายจากความเครียดต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้การเป็นอาสาสมัครทำงานสาธารณประโยชน์ในชุมชนยังช่วยเพิ่มพลังในการต่อต้านเชื้อโรคให้กับร่างกายได้ มีผลการศึกษาที่เผยว่า ผู้ที่ทำงานอาสาสมัครมีสุขภาพดีกว่า และอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่เคยทำงานอาสาสมัคร นั่นอาจเป็นเพราะการได้ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดในชีวิตลงได้

หาความสุขจากชีวิตคู่
สำหรับคนในวัยเลขหลัก 5 นี้ ลูกๆ อาจออกจากบ้านไปเรียนหนังสือหรือมีครอบครัวออกเรือนไปหมดแล้ว ดังนั้นพ่อแม่จึงควรหันกลับมาหาความสุขจากชีวิตคู่ และมีเวลากุ๊กกิ๊กกันให้มากขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ แต่มีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ชายและผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กัน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์นั้นมีระบบภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้นถึง 30%