ใช้กฎหมายที่เข้มขึ้น ให้แพ้-ชนะกันไปข้างนึง
"ห้ามโชว์บุหรี่ ณ จุดขาย ในร้านที่ปฏิบัติตามก็ยังพบว่ามีรูปแบบการปฏิบัติที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่เข้าลักษณะปากกับใจไม่ตรงกัน หรือ paradox อยู่จำนวนไม่น้อย เช่น ติดข้อความ "ที่นี่จำหน่ายบุหรี่" ขนาดใหญ่ และบางร้านยังทำข้อความนี้ไปติดหลายๆ ป้ายในร้านเดียว ซึ่งน่าติดตามต่อไปว่าจะก่อผลในเชิงกระตุ้นให้บริโภคหรือไม่ อีกรูปแบบหนึ่งคือการเปิดให้เห็นสินค้าแบบวับๆ แวมๆ เช่น เผยม่านที่บังชั้นบุหรี่ด้านหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน หรือปิดไว้ด้วยกระดาษที่เก่าจนขาดยุ่ย หรือปิดแบบแง้มๆ ให้เห็นสินค้า ซึ่งสำรวจพบที่ร้านในเครือร้านสะดวกซื้อดังๆ
นอกจากนี้ยังพบการหลีกเลี่ยงกฎหมายในลักษณะการวางตู้แบบหันหลังหรือหันข้างๆ ไว้ที่หน้าร้านหลังแคชเชียร์หรือที่เห็นได้ง่าย แต่ยังเห็นสินค้าชัดเจนเพราะเป็นตู้โปร่งใส รวมทั้งการวางบุหรี่แฝงปนกับของอื่นๆ การวางชื่อและราคา" ดร.กิตติ กันภัย จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ พูดถึงผลการศึกษาหลังกระทรวงสาธารณสุขออกมาตรการห้ามโชว์บุหรี่ ณ จุดขายครบ 1 ปีเต็ม
สรุปก็คือว่าหลังจากที่คนไทยส่วนใหญ่ที่ตระหนักถึงภัยร้ายที่เกิดจากบุหรี่ ทั้งคนที่สูบโดยตรงและคนที่ไม่สูบโดยตรงภัยคือเสียทั้งเงินทองในการซื้อหาเป็นการใช้เงินในครอบครัวอย่างผิดประเภทเสียทั้งสุขภาพนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงที่ทำให้เสียเงินเสียทองในการบำบัดรักษามหาศาล เป็นต้นว่าโรคถุงลมโป่งพองเสียทั้งเงินในครอบครัว เสียทั้งงบประมาณของรัฐ ไปจนกระทั่งสูญเสียเวลาในการประกอบอาชีพการงานจนทำให้ต้องเสียรายได้ไปอย่างไม่ควรจะเป็น
อยากให้ลองหลับตานึกถึงภาพคนที่กำลังรักษาตัวด้วยโรคถุงลมโป่งพองเพราะการสูบบุหรี่ดูว่าจะแย่ ทรมานและเป็นปัญหาแก่ครอบครัวและสังคมแค่ไหน
คนขายบุหรี่อย่างพวกร้านสะดวกซื้อดังๆ และคนผลิตบุหรี่มักไม่คำนึงถึงเรื่องความเสียหายเหล่านี้ ความเดือดร้อนเหล่านี้หวังแต่เพียงว่าขอให้ได้ประโยชน์เข้าพกเข้าห่อเท่านั้นเป็นพอ ที่พูดอย่างนี้ก็ยืนยันจากผลการสำรวจพฤติกรรมที่ ดร.กิตติ เปิดเผยไว้ข้างต้น
ไม่มีหัวจิตหัวใจจะสำนึกถึงความห่วงใยคนไทยด้วยกัน ลูกหลานไทย และความสุขสงบร่มเย็นของสังคมไทยคนไทยที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังคำที่ว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ อย่าว่าแต่จะสำนึกด้วยหัวใจเลย ขนาดว่ามีการออกกฎหมายมาบังคับจึงยอมปฏิบัติตามเพราะกลัวกฎหมาย แต่ด้วยเพราะหมกมุ่นอยู่กับความโลภยังทำทุกวิถีทางที่จะดึงให้คนหันมาเสพบุหรี่กันมากและมากขึ้น
นับตั้งแต่มีการรณรงค์อย่างจริงจังจนถึงการออกกฎหมายห้ามโฆษณา ห้ามโชว์ ณ จุดขาย ห้ามสูบ ณ จุดต่างๆ เช่นป้ายรถเมล์เป็นต้น กำลังจะห้ามสูบในคาเฟ่ในผับ คาราโอเกะ ทั้งนี้เพราะเกิดจากความห่วงใยของคนทุกคนในครอบครัว ในสังคมไทย (ยกเว้นเจ้าของร้านขายคนขายและผู้ผลิต) คนส่วนใหญ่มองคนสูบบุหรี่เป็นตัวประหลาดไปแล้วหรือก็คือเป็นคนที่สังคมไม่รับ เป็นคนที่สังคมขยะแขยงเหมือนตัวเชื้อโรคร้ายที่จะนำภัยพิบัติมาถึง
เอาเถอะ...ถึงใครที่สูบบุหรี่เพราะอ้างว่าไม่สูบแล้วจะลงแดงหรืออาจจะคิดว่าหน้าด้านพอที่จะเชิดหน้าในสังคมได้ ก็อยากให้สำนึกว่าลงแดงพักเดียวก็หาย ไม่เดือดร้อนใครมากแต่ถ้าเป็นถุงลมโป่งพอง นั่นเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเสียทั้งเงินทั้งเวลา แล้วก็อยากให้สำนึกว่ามีคนเคารพนับหน้าถือตา ดีกว่าถูกรังเกียจเดียดฉันท์ หรือโดยเฉพาะรังเกียจว่าเป็นตัวประหลาดตัวเชื้อโรค
จะไม่ขอให้ร้ายขายเทหัวใจมาเห็นดีเห็นงามกับการรณรงค์ให้คนไม่สูบบุหรี่ แต่วันหนึ่งถ้าเจอเข้ากับตัวเองหรือครอบครัวด้วยโรคถุงลมโป่งพอง อาจจะสำนึกได้กระมัง ด้วยมุ่งประโยชน์เข้าตนฝ่ายเดียวกฎหมายที่ออกมารณรงค์ก็จะต้องเข้มขึ้น ไม่ห้ามขายอยู่แล้ว แต่ห้ามแพลมให้เห็นตัวสินค้า
เมื่อคิดทำสงครามกันแล้วก็ต้องสู้กันให้จริงจังให้แพ้ชนะกันจริงๆอย่าลูบหน้าปะจมูก กฎหมายสู้ทุนไม่ได้ก็ยอมแพ้นายทุนเขาไป จะได้รู้ว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก สสส.
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น