แนะผู้สูงอายุตรวจตาปีละครั้งดวงตาเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากของมนุษย์ เป็นประตูเปิดทางติดต่อสื่อสารกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับความบันเทิง การท่องเที่ยว รวมถึงการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ ดังนั้นความรู้สำหรับดูแลสุขภาพดวงตาของเราในกรณีต่าง ๆ จึงมีความสำคัญยิ่ง
เด็กเด็กแม้ยังตัวเล็ก ก็อาจมีปัญหาทางตาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้ เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง เป็นต้น กรณีต่าง ๆ ต่อไปนี้ อาจต้องสงสัยว่าเด็กจะมีปัญหาเรื่องการมองเห็น ควรพาไปพบจักษุแพทย์ เช่น
1. กลางรูม่านตามีสีเขียว อาจเป็นโรคต้อกระจกหรือโรคตาอื่น ๆ
2. เด็กมีกระจกตาโตผิดปกติ หรือขนาดทั้ง 2 ข้างไม่เท่ากัน อาจเป็นโรคต้อหินในเด็กได้
3. เด็กอายุ 2-3 เดือนขึ้นไป ยังไม่มองหน้าแม่หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น
4. เด็กในวัยเข้าเรียนที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติ เอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบตาบ่อย อาจมีปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสาเหตุอื่น
ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำหลายคนที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ จะมีปัญหาเรื่องปวดเมื่อยล้าตา หรือแสบเคืองตาจากอาการตาแห้งได้ดังนั้น
1. ควรพักสายตาโดยทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมองใกล้ (1-2 ฟุต) ประมาณ 5-10 นาทีต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาบ้าง จะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาได้
2. ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมากเพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์ เช่นไม่ควรตรงกับหน้าต่าง
3. ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าง่าย
4. ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตา หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ถ้ายังมีอาการมาก การใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้
5. อาจมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสายตาก็ได้ที่ทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่น คนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้ การใส่แว่นตาจะช่วยแก้ปัญหาได้
ผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไปจะเริ่มมีปัญหาเวลาอ่านหนังสือ จะปวดเมื่อยล้าตาง่าย เมื่อใช้สายตามองที่ใกล้นาน ๆ ดังนั้น อาจต้องใส่แว่นตาช่วยเวลามองใกล้ ซึ่งถ้าสายตาเท่ากัน 2 ข้าง อาจใช้แว่นตาสำเร็จรูปที่มีขายตามตลาดนัดได้ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องปรึกษาร้านแว่นตาหรือจักษุแพทย์
การตรวจสุขภาพตา1. สังเกตลูกของเราด้วยตัวเราเอง ถ้าสงสัยควรพาไปพบจักษุแพทย์
2. การตรวจวัดระดับการมองเห็น เด็กวัยเรียนอาจจะตรวจในโรงเรียน เช่น Snellen chart ได้
3. ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจหาต้อหิน โดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้ และไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้
4. ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่พบว่าเป็นเบาหวาน ยกเว้นในผู้ที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อย 30 ปี ถ้าไม่มีตามัวลงผิดปกติ อาจรอ 5 ปี ค่อยเริ่มตรวจเป็นประจำปีละครั้งก็ได้
ถ้าจักษุแพทย์พบมีเบาหวานขึ้นตา การยิงเลเซอร์ที่จอประสาทตาอาจจะช่วยให้ในระยะยาวมีสายตาที่ดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ยิงเลเซอร์ แต่ไม่ได้ทำให้สายตาเห็นชัดขึ้น ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และไขมันในเลือดให้อยู่ระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี
อาหารกับดวงตาการกินอาหารให้ครบ 4 หมู่อย่างเพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอก็ช่วยให้สุขภาพทั้งร่างกายและสายตาอยู่ในเกณฑ์ดีด้วยส่วนหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องกินอาหารเสริมใด ๆ เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างเพียงพอและพอเพียงตามพระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทย
อุบัติเหตุกับดวงตาการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับดวงตา เช่น
1. คาดเข็มขัดนิรภัยเวลาขับรถ ไม่ขับรถเวลาเมาหรือง่วงนอน เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ใบหน้าอาจกระแทกกับกระจกหน้ารถทำให้ตาบอดทั้ง 2 ข้างได้
2. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ลม ฝุ่น ด้วยการใส่แว่นกันแดดกันลมบ้าง
3. ใส่แว่นตาป้องกันเวลาทำงานที่อาจมีวัตถุแปลกปลอมกระเด็นเข้าตา เช่น การตอกตะปู การใช้รถตัดหญ้า การเจียเหล็ก เป็นต้น
4. ใช่แว่นตาป้องกันแสงรังสีขณะเชื่อมเหล็ก จะช่วยป้องกันกระจกตาอักเสบจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้
5. เด็กควรระวังการเล่นกับไก่หรือนกที่อาจจิกกระจกตาแตกได้ รวมทั้งการเล่นกับสุนัข อาจถูกสุนัขกับบริเวณเลือกตาและท่อน้ำตาขาดได้
6. ถ้ามีน้ำยาหรือสารเคมีเข้าตาให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดใกล้ตัว เช่นน้ำประปาเพื่อลดประมาณสารเคมีในตาลงบ้างจะช่วยลดความรุนแรงได้ดีขึ้น
แว่นตา และคอนแทคเลนส์ผู้ที่มีสายตาผิดปกติแล้วต้องใส่แว่นตานั้น โดยทั่วไปจะใส่หรือไม่ใสเวลาใดก็ได้แล้วแต่การใช้งานของเราว่าจำเป็นต้องเห็นชัดหรือไม่
การใส่แว่นตาเป็นประจำไม่ได้ทำให้สายตาดีขึ้นหรือยิ่งผิดปกติมากขึ้น เพราะสายตาจะเปลี่ยนไปเองในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์แว่นตาให้ตรงกับสายตาที่เปลี่ยนไป จะได้เห็นชัด ซึ่งคนสายตาปกตายตาอาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่คนสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้นมาก สายตาก็จะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นบ่อยกว่าคนทั่วไป
ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าแว่นตาเริ่มไม่ชัดเหมือนตอกเริ่มตัดแว่น ควรไปวัดแว่นเพื่อเปลี่ยนแว่นให้เหมาะกับสายตา สำหรับในเด็กควรได้รับการตรวจสายตาซ้ำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เด็กบางคนเท่านั้นที่ต้องเน้นว่าให้ใส่แว่นตาประจำ เช่น เด็กที่สายตาสั้น ยาว หรือเอียงมาก ๆ เพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจ ซึ่งเป็นภาวะที่ลูกตาอาจมีปัญหาสายตาสั้นยาวหรือเอียง แต่แม้ใส่แว่นตาแล้วก็ยังคงเห็นได้ไม่ชัดมาก เกิดจากการมีภาวะตามัวที่ไม่ได้แก้ไขก่อนอายุ 8-10 ขวบ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติควรใส่แว่นตาเพื่อป้องกันความพิการจากภาวะตาขี้เกียจในอนาคต
การวัดแว่นตาในเด็กควรวัดโดยจักษุแพทย์ ซึ่งจะมีการช้าหยอดตาเพื่อลดการเพ่งของสายตาจะทำให้ได้ค่าสายตาที่แม่นยำ ดังนั้น เด็กอายุน้อยกว่า 12 ขวบ ทุกคนที่มีปัญหาเรื่องสายตา ควรรับการตรวจและวัดสายตากับจักษุแพทย์เท่านั้น ไม่ควรวัดแว่นตาจากร้านแว่นตาที่ไม่มีจักษุแพทย์
ไม่ควรใส่คอน แทคเลนส์เวลานอนหลับ ถึงแม้จะเป็นคอน แทคเลนส์แบบที่ใช้ใส่นอนหลับได้ก็ตามเพราะจะเสี่ยงต่อการเป็นแผลติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งทำให้ตามัวอย่างถาวรได้ และควรล้างคอน แทคเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอน แทคเลนส์โดยเฉพาะเท่านั้น
อันตรายจากยาหยอดตาถ้าซื้อยาหยอดตาเองตามร้านขายยา ต้อระวังเพราะหากท่านได้ยาบางประเภท เช่น ยาสตีรอยต์ ถ้าใช้หยอดตาไม่ถูกวิธีหรือหยอดเป็นเวลานาน อาจทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ตา หรือทำให้เป็นต้อกระจกและต้อหินได้
ยาน้ำหยอดหูบางชนิดที่เขียนให้หยอดตาร่วมด้วยอาจนำมาใช้หยอดตาได้ แต่ถ้าระบุไว้เป็นเฉพาะยาหยอดหู ห้ามนำมาใช้หยอดตา เพราะอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาได้
ขอให้ทุกคนมีสายตาที่ดียืนยาวเคียงคู่ชีวิตและมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง