แค่ถูไป-มา รักษาผิวหยาบกระด้างได้
ใครที่กำลังประสบกับปัญหาส้นเท้าแตกฟังทางนี้ วันนี้เรามีวิธีรักษาส้นเท้าแตกด้วยเปลือกกล้วยหอมมาฝาก…
ปัญหาส้นเท้าแตกส่วนใหญ่ มักเกิดจากรองเท้าแตะแบบหนีบ หรือรองเท้าเปิดส้น เพราะการที่ใส่รองเท้าพวกนี้เป็นเวลานานๆ ผิวหนังตรงบริเวณส้นเท้าจะถูกเสียดสี จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นค่อยๆ แข็งและหนาขึ้น จนทำให้เกิดการแห้งแตกในที่สุด
วิธีรักษา คือ เริ่มจากการทำความสะอาดเท้าให้เรียบร้อย จากนั้นนำเปลือกกล้วยหอมมาถูตรงบริเวณส้นเท้าที่แตก ถูไป - มา แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำสะอาดเสร็จแล้ว เช็ดให้แห้งพร้อมกับทาครีมบำรุงส้นเท้า วิธีนี้ควรจะทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 - 3 ครั้ง
รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปรักษาอาการส้นเท้าแตกกันดูได้
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
“ไข่ขาว”รักษาแผลน้ำร้อนลวก
แนะห้ามแกะ-เกา ก่อนทา เสี่ยงหนังถลอก
ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ มีวิธีรักษามาบอก…
เริ่มแรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือพุพองก็จะหายไป
ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก
รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ มีวิธีรักษามาบอก…
เริ่มแรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือพุพองก็จะหายไป
ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก
รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เปลี่ยน 5 วันทำงานให้เป็นสวรรค์
แนะขจัดเครียด สร้างออฟฟิศสุขสันต์
ทุกครั้งที่เริ่มต้นสัปดาห์แห่งการทำงาน คุณอาจรู้สึกเบื่อเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำอีก 5 วัน ตลอดจนปัญหาที่จะเข้ามาแทรกทำให้คุณต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้นหากคุณไม่สามารถจัดการกับตารางชีวิต หรือลดละความเครียดลงบ้าง นานวันเข้าก็จะสะสม ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจ ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ขอแนะนำวิธีขจัดความเครียดโดยทำให้ วันทำงานที่แสนเบื่อกลายเป็นวันรื่นรมย์อีกสักนิด
วันจันทร์ ปรับนิสัยการทำงาน
มักเป็นวันที่จราจรคับคั่งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันแรกของสัปดาห์การทำงาน หากคุณไม่อยากออกจากบ้านเพื่อเผชิญกับรถติดให้อารมณ์เสียกันตั้งแต่เช้า ขอแนะนำให้ตื่นเร็วขึ้นอีกสัก 10 นาที จะได้มีเวลาจัดการตนเองมากขึ้น ออกจากบ้านเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องประสบกับจราจรคับคั่งอย่างที่เคยชิน เมื่อไปถึงที่ทำงานให้จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ แต่ควรจดในสิ่งที่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นอาจเหลืองานที่ยังทำไม่ทันบนกระดาษ ก่อให้เกิดความรู้สึกเครียด กังวลมากขึ้นไปอีก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ จัดการงานไปทีละส่วน
วิธีนี้จะช่วยป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง ช่วยให้คุณรู้สึกว่างานนั้นง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่คิด ในขณะทำงานอาจมีเวลาสักช่วงที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำงาน ให้พยายามเลือกทำงานชิ้นที่คิดว่าใช้เวลาน้อยจะเหมาะที่สุด และสุดท้ายอุปสรรคของการทำงาน คือ การติดต่อสื่อสาร หากคิดว่าช่วงไหนยุ่ง มีงานเร่งด่วน ควรปิดมือถือและใช้ระบบฝากข้อความแทน
วันอังคาร สร้างบรรยากาศการทำงานที่รื่นรมย์
สาเหตุของความเครียดส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน เช่น เสียงดัง ห้องทำงานไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีส่วนช่วยทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้น เริ่มจาก
ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน จัดของให้เป็นระเบียบ หยิบใช้ หรือหาง่าย เพิ่มความสะดวก
หาของตกแต่งเพิ่มสีสันบนโต๊ะทำงาน จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เช่น แจกันดอกไม้ ภาพถ่ายกับเพื่อน ครอบครัว หรือภาพเขียนที่ชื่นชอบ
ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ทำงาน สำรวจว่าโต๊ะทำงานมีแสงสว่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพราะหากมีน้อยไปจะเสียสายตา แก้ไขโดยติดตั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เก้าอี้ไม่แข็งเกินไป นั่งแล้วสายตาพอดีกับโต๊ะ จอคอมพิวเตอร์
วันพุธ ลดความกังวล
ความกังวลแบบพอดี ทำให้เราไม่ประมาท รู้จักเตรียมการล่วงหน้า ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำงาน อย่างไรก็ตามหากมีมากไป จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน ทำให้ประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจ และอาจทำให้งานล่าช้า
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงชีวิตนอกเวลางาน เก็บไปคิดให้กลุ้มใจเป็นวันๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกกังวลมาก ขอให้ถามตนเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นของใคร คิดกังวลแทนคนอื่นมากไปหรือไม่ จากนั้นอาจปรึกษา พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ และขบคิดดูว่าปัญหามีขอบเขตแค่ไหน และเริ่มหาทางแก้ไขปัญหา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย
วันพฤหัสบดี หันมาฟังเสียงตัวเอง ขจัดความเครียด
โดยปกติในชีวิตประจำวัน เวลาคิด หรือตัดสินใจ เรามักพูดกับตนเองในใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ แง่บวก และแง่ลบ ซึ่งการคิดในแง่บวกจะช่วยในการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจ แต่คิดในแง่ลบจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้น เช่น คนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบมักคิดแบบเกินตัว ซึ่งมักรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “ฉันน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งสถานการณ์จริง ผ่านมานานสายเกินแก้ไขแล้ว)” ยิ่งเพิ่มความเครียดให้ตนเอง ทางแก้ไขควรคิดแบบแง่บวกมากขึ้น เปลี่ยนจากคำถามว่า "ฉันทำผิดพลาดตรงไหน" มาเป็น "จะแก้ไขอย่างไรดี" จะเหมาะสมกว่า
วันศุกร์ วิธีขจัดเครียดอย่างง่ายและรวดเร็ว
ในระหว่างวันที่คุณจะต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง มีวิธีขจัดความเครียดอย่างได้ผลและรวดเร็วมาฝากโดยการ
กำหนดลมหายใจ ให้หายใจเข้า - ออก ลึกๆ หลายๆ ครั้ง โดยไม่เปิดปากจะรู้สึกว่าอากาศจะเข้าไปเต็มปอด และท้อง จากนั้นก็หายใจออก
อาจไปเดินเล่นสักพัก หรือฟังเพลง พักดื่มน้ำ ของว่างสักนิด
ออกกำลังกาย นั่งนานๆ มาทั้งวันอาจรู้สึกตึงบริเวณหลัง ขา การออก กำลังกายช่วยให้ร่างกายได้ยืดเส้น ยืดสาย เพียงแค่วันละ 10 นาที ก็จะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรืออาหารไขมันสูง
หมั่นยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นวิธีที่แบบธรรมชาติที่ลดความเครียดได้อย่างดี
ทุกครั้งที่เริ่มต้นสัปดาห์แห่งการทำงาน คุณอาจรู้สึกเบื่อเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำอีก 5 วัน ตลอดจนปัญหาที่จะเข้ามาแทรกทำให้คุณต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้นหากคุณไม่สามารถจัดการกับตารางชีวิต หรือลดละความเครียดลงบ้าง นานวันเข้าก็จะสะสม ส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตใจ ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ขอแนะนำวิธีขจัดความเครียดโดยทำให้ วันทำงานที่แสนเบื่อกลายเป็นวันรื่นรมย์อีกสักนิด
วันจันทร์ ปรับนิสัยการทำงาน
มักเป็นวันที่จราจรคับคั่งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันแรกของสัปดาห์การทำงาน หากคุณไม่อยากออกจากบ้านเพื่อเผชิญกับรถติดให้อารมณ์เสียกันตั้งแต่เช้า ขอแนะนำให้ตื่นเร็วขึ้นอีกสัก 10 นาที จะได้มีเวลาจัดการตนเองมากขึ้น ออกจากบ้านเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องประสบกับจราจรคับคั่งอย่างที่เคยชิน เมื่อไปถึงที่ทำงานให้จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ แต่ควรจดในสิ่งที่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นอาจเหลืองานที่ยังทำไม่ทันบนกระดาษ ก่อให้เกิดความรู้สึกเครียด กังวลมากขึ้นไปอีก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ จัดการงานไปทีละส่วน
วิธีนี้จะช่วยป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง ช่วยให้คุณรู้สึกว่างานนั้นง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่คิด ในขณะทำงานอาจมีเวลาสักช่วงที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำงาน ให้พยายามเลือกทำงานชิ้นที่คิดว่าใช้เวลาน้อยจะเหมาะที่สุด และสุดท้ายอุปสรรคของการทำงาน คือ การติดต่อสื่อสาร หากคิดว่าช่วงไหนยุ่ง มีงานเร่งด่วน ควรปิดมือถือและใช้ระบบฝากข้อความแทน
วันอังคาร สร้างบรรยากาศการทำงานที่รื่นรมย์
สาเหตุของความเครียดส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน เช่น เสียงดัง ห้องทำงานไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีส่วนช่วยทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้น เริ่มจาก
ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน จัดของให้เป็นระเบียบ หยิบใช้ หรือหาง่าย เพิ่มความสะดวก
หาของตกแต่งเพิ่มสีสันบนโต๊ะทำงาน จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เช่น แจกันดอกไม้ ภาพถ่ายกับเพื่อน ครอบครัว หรือภาพเขียนที่ชื่นชอบ
ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ทำงาน สำรวจว่าโต๊ะทำงานมีแสงสว่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพราะหากมีน้อยไปจะเสียสายตา แก้ไขโดยติดตั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เก้าอี้ไม่แข็งเกินไป นั่งแล้วสายตาพอดีกับโต๊ะ จอคอมพิวเตอร์
วันพุธ ลดความกังวล
ความกังวลแบบพอดี ทำให้เราไม่ประมาท รู้จักเตรียมการล่วงหน้า ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำงาน อย่างไรก็ตามหากมีมากไป จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน ทำให้ประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจ และอาจทำให้งานล่าช้า
นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงชีวิตนอกเวลางาน เก็บไปคิดให้กลุ้มใจเป็นวันๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกกังวลมาก ขอให้ถามตนเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นของใคร คิดกังวลแทนคนอื่นมากไปหรือไม่ จากนั้นอาจปรึกษา พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ และขบคิดดูว่าปัญหามีขอบเขตแค่ไหน และเริ่มหาทางแก้ไขปัญหา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย
วันพฤหัสบดี หันมาฟังเสียงตัวเอง ขจัดความเครียด
โดยปกติในชีวิตประจำวัน เวลาคิด หรือตัดสินใจ เรามักพูดกับตนเองในใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ แง่บวก และแง่ลบ ซึ่งการคิดในแง่บวกจะช่วยในการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจ แต่คิดในแง่ลบจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้น เช่น คนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบมักคิดแบบเกินตัว ซึ่งมักรำพึงรำพันกับตัวเองว่า “ฉันน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งสถานการณ์จริง ผ่านมานานสายเกินแก้ไขแล้ว)” ยิ่งเพิ่มความเครียดให้ตนเอง ทางแก้ไขควรคิดแบบแง่บวกมากขึ้น เปลี่ยนจากคำถามว่า "ฉันทำผิดพลาดตรงไหน" มาเป็น "จะแก้ไขอย่างไรดี" จะเหมาะสมกว่า
วันศุกร์ วิธีขจัดเครียดอย่างง่ายและรวดเร็ว
ในระหว่างวันที่คุณจะต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง มีวิธีขจัดความเครียดอย่างได้ผลและรวดเร็วมาฝากโดยการ
กำหนดลมหายใจ ให้หายใจเข้า - ออก ลึกๆ หลายๆ ครั้ง โดยไม่เปิดปากจะรู้สึกว่าอากาศจะเข้าไปเต็มปอด และท้อง จากนั้นก็หายใจออก
อาจไปเดินเล่นสักพัก หรือฟังเพลง พักดื่มน้ำ ของว่างสักนิด
ออกกำลังกาย นั่งนานๆ มาทั้งวันอาจรู้สึกตึงบริเวณหลัง ขา การออก กำลังกายช่วยให้ร่างกายได้ยืดเส้น ยืดสาย เพียงแค่วันละ 10 นาที ก็จะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรืออาหารไขมันสูง
หมั่นยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นวิธีที่แบบธรรมชาติที่ลดความเครียดได้อย่างดี
เคล็ดลับกำจัด “คราบ”
แนะวิธีขจัดรอยเปื้อนด้วยของในครัว
กำจัดสนิม
เมื่อสังเกตว่ามีดเริ่มมีสนิมเกาะหรือเพิ่งเริ่มเป็นสนิม ถ้าทิ้งไว้นานอาจแก้ไขไม่ทันการณ์และเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากนำมีดนั้นมาใช้หั่นของกิน วิธีกำจัดสนิมให้หลุดออกจากมีดในเบื้องต้นคือ ใช้เปลือกมะนาว หลังจากที่บีบน้ำออกแล้วถูที่ใบมีดที่เกิดสนิม หรือผ่าหัวหอมแดง แล้วทาที่ใบมีด หากสนิมกินเนื้อใบมีดมากกว่าที่คิด คงต้องส่งให้ถึงมือช่างลับมีดโดยเฉพาะ
กำจัดความขุ่นมัว
เครื่องแก้วที่ไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ หรือประเภทเก็บจนเก่า ผิวเครื่องแก้วจึงมักมีคราบขุ่นมัวไม่น่าใช้ วิธีแก้ไขให้เครื่องแก้วกลับมามีความแวววาวสวยงามอีกครั้งแนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชู 5 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 2 ลิตร นำเครื่องแก้วหรือภาชนะที่เป็นแก้วลงล้างในน้ำที่ผสมแล้วใช้ฟองน้ำถูเบาๆ เครื่องแก้วก็จะกลับมาดูแวววาวอีกครั้ง
กำจัดคราบอาหารอบ
กรณีที่อาหารที่อบไว้ในเตาอบล้นภาชนะออกมาหกเปื้อนในเตาอบให้รีบนำเกลือป่นโรยบนรอยเปื้อนนั้น เพื่อช่วยไม่ให้รอยเปื้อนไหม้ วิธีนี้จะช่วยให้เช็ดทำความสะอาดเตาอบได้ง่ายขึ้นหลังจากเลิกทำอาหารแล้ว
กำจัดป้ายราคา
ป้ายกาวราคาที่ติดไว้บนแก้ว ถึงติดไว้ไม่นาน เมื่อลอกออกแล้วก็มักทิ้งรอยคราบไว้บนผิวแก้ว ยิ่งเป็นป้ายกาวราคาที่ติดไว้เป็นเวลานาน (โดยเฉพาะสินค้าลดราคา) ลอกออกก็ลำบาก ลอกออกแล้วก็ทิ้งรอยคราบเป็นขุยๆ ต้องลำบากใช้เล็บมือขูด
วิธีแก้ง่ายๆ คือใช้ไดร์เป่าผมเป่าลงไปบนป้ายราคา ความร้อนจากไดร์เป่าผมช่วยละลายกาวให้ลอกป้ายออกได้โดยง่าย ถ้ามีคราบก็ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตรงป้ายกาวอีกครั้งแล้วล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า แต่ถ้าไม่มีไดร์เป่าผม วิธีง่ายกว่านั้นคือแช่แก้วที่มีป้ายราคาทิ้งไว้ในน้ำ น้ำจะช่วยละลายกาวและป้ายราคาให้เปื่อยยุ่ยหลุดออกง่ายขึ้น วิธีนี้ต้องใช้เวลานานสักหน่อย อาจต้องทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน
กำจัดริ้วรอย
หมายถึงริ้วรอยของครกหิน ครกหินที่ซื้อมาใหม่มักมีริ้วรอยไม่ราบเรียบ ลองนำเนื้อมะพร้าวที่ใช้คั้นกระทิ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ 4 - 5 ชิ้น ใส่ลงในครกแล้วตำเนื้อมะพร้าวให้แตกละเอียด ให้น้ำมันจากเนื้อมะพร้าวออกมาสัมผัสกับผิวก้นครกไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไว้อย่างนั้นสักหนึ่งคืน ปล่อยให้น้ำมันจากเนื้อมะพร้าวซึมเข้าตามริ้วรอยของเนื้อครกหิน ก้นครกก็จะลื่นเป็นมันดูสดใสใช้งานได้คล่องขึ้น
กำจัดสนิม
เมื่อสังเกตว่ามีดเริ่มมีสนิมเกาะหรือเพิ่งเริ่มเป็นสนิม ถ้าทิ้งไว้นานอาจแก้ไขไม่ทันการณ์และเป็นอันตรายต่อสุขภาพหากนำมีดนั้นมาใช้หั่นของกิน วิธีกำจัดสนิมให้หลุดออกจากมีดในเบื้องต้นคือ ใช้เปลือกมะนาว หลังจากที่บีบน้ำออกแล้วถูที่ใบมีดที่เกิดสนิม หรือผ่าหัวหอมแดง แล้วทาที่ใบมีด หากสนิมกินเนื้อใบมีดมากกว่าที่คิด คงต้องส่งให้ถึงมือช่างลับมีดโดยเฉพาะ
กำจัดความขุ่นมัว
เครื่องแก้วที่ไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานๆ หรือประเภทเก็บจนเก่า ผิวเครื่องแก้วจึงมักมีคราบขุ่นมัวไม่น่าใช้ วิธีแก้ไขให้เครื่องแก้วกลับมามีความแวววาวสวยงามอีกครั้งแนะนำให้ใช้น้ำส้มสายชู 5 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำสะอาด 2 ลิตร นำเครื่องแก้วหรือภาชนะที่เป็นแก้วลงล้างในน้ำที่ผสมแล้วใช้ฟองน้ำถูเบาๆ เครื่องแก้วก็จะกลับมาดูแวววาวอีกครั้ง
กำจัดคราบอาหารอบ
กรณีที่อาหารที่อบไว้ในเตาอบล้นภาชนะออกมาหกเปื้อนในเตาอบให้รีบนำเกลือป่นโรยบนรอยเปื้อนนั้น เพื่อช่วยไม่ให้รอยเปื้อนไหม้ วิธีนี้จะช่วยให้เช็ดทำความสะอาดเตาอบได้ง่ายขึ้นหลังจากเลิกทำอาหารแล้ว
กำจัดป้ายราคา
ป้ายกาวราคาที่ติดไว้บนแก้ว ถึงติดไว้ไม่นาน เมื่อลอกออกแล้วก็มักทิ้งรอยคราบไว้บนผิวแก้ว ยิ่งเป็นป้ายกาวราคาที่ติดไว้เป็นเวลานาน (โดยเฉพาะสินค้าลดราคา) ลอกออกก็ลำบาก ลอกออกแล้วก็ทิ้งรอยคราบเป็นขุยๆ ต้องลำบากใช้เล็บมือขูด
วิธีแก้ง่ายๆ คือใช้ไดร์เป่าผมเป่าลงไปบนป้ายราคา ความร้อนจากไดร์เป่าผมช่วยละลายกาวให้ลอกป้ายออกได้โดยง่าย ถ้ามีคราบก็ใช้แอลกอฮอล์เช็ดตรงป้ายกาวอีกครั้งแล้วล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า แต่ถ้าไม่มีไดร์เป่าผม วิธีง่ายกว่านั้นคือแช่แก้วที่มีป้ายราคาทิ้งไว้ในน้ำ น้ำจะช่วยละลายกาวและป้ายราคาให้เปื่อยยุ่ยหลุดออกง่ายขึ้น วิธีนี้ต้องใช้เวลานานสักหน่อย อาจต้องทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน
กำจัดริ้วรอย
หมายถึงริ้วรอยของครกหิน ครกหินที่ซื้อมาใหม่มักมีริ้วรอยไม่ราบเรียบ ลองนำเนื้อมะพร้าวที่ใช้คั้นกระทิ ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ 4 - 5 ชิ้น ใส่ลงในครกแล้วตำเนื้อมะพร้าวให้แตกละเอียด ให้น้ำมันจากเนื้อมะพร้าวออกมาสัมผัสกับผิวก้นครกไปเรื่อยๆ ประมาณ 10 นาที แล้วทิ้งไว้อย่างนั้นสักหนึ่งคืน ปล่อยให้น้ำมันจากเนื้อมะพร้าวซึมเข้าตามริ้วรอยของเนื้อครกหิน ก้นครกก็จะลื่นเป็นมันดูสดใสใช้งานได้คล่องขึ้น
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
งานทำพิษ ‘ออฟฟิศซินโดรม’
มนุษย์เงินเดือนประจำออฟฟิศทั้งหลาย ลองถามตัวเองก่อนว่า คุณเป็นคนที่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน มีปัญหาสายตา และปวดเมื่อยบริเวณต่าง ๆ หรือไม่? ... เพราะถ้าพยักหน้า พร้อมตอบ ใช่ๆ ก็เข้าข่ายเป็น ‘ออฟฟิศซินโดรม’ แล้ว
ไม่ใช่จะป่วย สำแดงอาการแล้วตายในทันที แต่ออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการของโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานอย่างหักโหม ไม่ดูแลตนเอง ใช้งานร่างกายหนักจนทรุดโทรมและป่วยเป็นโรคต่าง ๆ จนเจ็บปวดทรมานและต้องรักษาในที่สุด
อาการที่มักจะเกิดกับผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรม คือ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจนกล้ามเนื้ออักเสบถามหา โดยเฉพาะบริเวณหลัง คอ ไหล่ ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว แห้งและระคายเคือง ทั้งหมดจะค่อย ๆ ก่อตัว สะสมอาการไปเรื่อย ๆ เนื่องจากมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง มักจะนั่งอยู่ในท่าเดิมนานหลายชั่วโมง อาจเป็นเพราะต้องขะมักเขม้นทำงานแข่งกับเวลาจนไม่อยากลุกไปไหน ถ้าไม่จำเป็น ชอบใช้ช่วงใบหูหนีบโทรศัพท์เข้ากับบ่าแล้วคุยต่อเนื่องนาน ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็จะมาเยือน ร้ายนักอาจเข้าขั้นหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกระดูกทับเส้นประสาท
บ้างก็มีสภาพโต๊ะทำงานรก สิ่งของกองสุมฝุ่นเกาะ ทำให้หยิบจับอะไรก็ไม่สะดวก นั่งคุดคู้ต้องงอแขน สูดดมละอองฝุ่นพาลจะเป็นโรคทางเดินหายใจ เก้าอี้นั่งไม่เหมาะสม ขาดพนักพิงรองรับส่วนหลังสูงไปถึงศีรษะ ไม่มีแถบรองข้อมือเมื่อจะต้องพิมพ์งานกับคีย์บอร์ด ข้อมือจะกระดกขึ้นลงซ้ำ ๆ เกิดอาการเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ซ้ำร้ายพังผืดเกาะหนา มือและนิ้วชา จนเป็นนิ้วล็อก
มองข้ามไม่ได้เลย คงจะเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์กับปัญหาสายตา ถ้ายังใช้จอแบบ CRT จอรุ่นเก่าที่โค้งมน ซึ่งมีลักษณะที่จะทำให้คุณต้องเพ่งสายตามากกว่าแบบ LCD ที่เป็นจอแบน แม้จอคอมพิวเตอร์จะถูกตั้งค่าความสว่างถนอมสายตาหรือปรับระดับความสูงต่ำให้เหมาะสมกับมุมมองแล้ว แต่คุณก็ยังนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์โดยไม่พักสายตา ดวงตาของคุณก็จะเผชิญกับปัญหาน้ำตาระเหยมากจนเกิดการระคายเคือง ตาแห้ง แสบ สายตาสั้น แพ้แสงจนพร่ามัว มองภาพไม่ชัด เมื่ออาการสะสมจนในระดับหนึ่งก็จะรู้สึกปวดบริเวณเบ้าตาและปวดศีรษะ
ก่อนจะป่วยเป็นออฟฟิศซินโดรม หาเวลาว่างจัดโต๊ะทำงานเสียใหม่ โละของไร้ประโยชน์ทิ้ง พยายามวางสิ่งของไว้ทางด้านซ้าย และปล่อยด้านขวาให้โล่งที่สุด เพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวก เก้าอี้เลือกแบบมีพนักรองหลังจนถึงศีรษะ ขยับตัวชัดกับพนัก ไม่นั่งหลังคร่อม ไขว้ขา หรืองอข้อเท้า พักสายตาจากทุก ๆ 20 นาที พยายามกระพริบตาให้ถี่ และเมื่อครบครึ่งชั่วโมง ควรลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ และยังควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพราะอากาศในสำนักงานส่วนใหญ่ค่อนข้างแห้ง ที่สำคัญหากรู้สึกมีปัญหาสายตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ส่วนอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากปรับอิริยาบถ นวดผ่อนคลาย และออกกำลังกายแล้วยังไม่หาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
ไม่ใช่จะป่วย สำแดงอาการแล้วตายในทันที แต่ออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการของโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานอย่างหักโหม ไม่ดูแลตนเอง ใช้งานร่างกายหนักจนทรุดโทรมและป่วยเป็นโรคต่าง ๆ จนเจ็บปวดทรมานและต้องรักษาในที่สุด
อาการที่มักจะเกิดกับผู้ที่เป็นออฟฟิศซินโดรม คือ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจนกล้ามเนื้ออักเสบถามหา โดยเฉพาะบริเวณหลัง คอ ไหล่ ปวดศีรษะ สายตาพร่ามัว แห้งและระคายเคือง ทั้งหมดจะค่อย ๆ ก่อตัว สะสมอาการไปเรื่อย ๆ เนื่องจากมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง มักจะนั่งอยู่ในท่าเดิมนานหลายชั่วโมง อาจเป็นเพราะต้องขะมักเขม้นทำงานแข่งกับเวลาจนไม่อยากลุกไปไหน ถ้าไม่จำเป็น ชอบใช้ช่วงใบหูหนีบโทรศัพท์เข้ากับบ่าแล้วคุยต่อเนื่องนาน ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็จะมาเยือน ร้ายนักอาจเข้าขั้นหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือกระดูกทับเส้นประสาท
บ้างก็มีสภาพโต๊ะทำงานรก สิ่งของกองสุมฝุ่นเกาะ ทำให้หยิบจับอะไรก็ไม่สะดวก นั่งคุดคู้ต้องงอแขน สูดดมละอองฝุ่นพาลจะเป็นโรคทางเดินหายใจ เก้าอี้นั่งไม่เหมาะสม ขาดพนักพิงรองรับส่วนหลังสูงไปถึงศีรษะ ไม่มีแถบรองข้อมือเมื่อจะต้องพิมพ์งานกับคีย์บอร์ด ข้อมือจะกระดกขึ้นลงซ้ำ ๆ เกิดอาการเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ ซ้ำร้ายพังผืดเกาะหนา มือและนิ้วชา จนเป็นนิ้วล็อก
มองข้ามไม่ได้เลย คงจะเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์กับปัญหาสายตา ถ้ายังใช้จอแบบ CRT จอรุ่นเก่าที่โค้งมน ซึ่งมีลักษณะที่จะทำให้คุณต้องเพ่งสายตามากกว่าแบบ LCD ที่เป็นจอแบน แม้จอคอมพิวเตอร์จะถูกตั้งค่าความสว่างถนอมสายตาหรือปรับระดับความสูงต่ำให้เหมาะสมกับมุมมองแล้ว แต่คุณก็ยังนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์โดยไม่พักสายตา ดวงตาของคุณก็จะเผชิญกับปัญหาน้ำตาระเหยมากจนเกิดการระคายเคือง ตาแห้ง แสบ สายตาสั้น แพ้แสงจนพร่ามัว มองภาพไม่ชัด เมื่ออาการสะสมจนในระดับหนึ่งก็จะรู้สึกปวดบริเวณเบ้าตาและปวดศีรษะ
ก่อนจะป่วยเป็นออฟฟิศซินโดรม หาเวลาว่างจัดโต๊ะทำงานเสียใหม่ โละของไร้ประโยชน์ทิ้ง พยายามวางสิ่งของไว้ทางด้านซ้าย และปล่อยด้านขวาให้โล่งที่สุด เพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวก เก้าอี้เลือกแบบมีพนักรองหลังจนถึงศีรษะ ขยับตัวชัดกับพนัก ไม่นั่งหลังคร่อม ไขว้ขา หรืองอข้อเท้า พักสายตาจากทุก ๆ 20 นาที พยายามกระพริบตาให้ถี่ และเมื่อครบครึ่งชั่วโมง ควรลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ และยังควรดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพราะอากาศในสำนักงานส่วนใหญ่ค่อนข้างแห้ง ที่สำคัญหากรู้สึกมีปัญหาสายตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ ส่วนอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากปรับอิริยาบถ นวดผ่อนคลาย และออกกำลังกายแล้วยังไม่หาย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กินอย่างไร สุขภาพจะดี??
ในหนึ่งวันร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารต่างๆ มากมายหลายชนิดทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ แต่ถ้าต้องการให้อาหารที่รับประทานเข้าไปนั้นได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเราแล้วละก็ การปรับพฤติกรรมการกินในหนึ่งวันมีความสำคัญเป้นอย่างยิ่ง วันนี้ Tips สุขภาพ มีเคล็ดลับเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ
เริ่มต้นกันที่การรับประทานอาหารเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองให้พร้อมที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีกด้วย เพราะการรับประทานอาหารเช้าเป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจและพลังชีวิตไปตลอดทั้งวัน ที่สำคัญยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
ต่อมาเป็นเรื่องของการดื่มน้ำ หากใครที่ไม่ชอบดื่มน้ำเรื่องนี้สำคัญมากเช่นกัน เพราะโดยปกติแล้วคนเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆ มีอาการร้อนหรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น ที่สำคัญการดื่มน้ำจะช่วยในการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่ายกำจัดของเสียโดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้ อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับความเข้มข้นของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อมีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
ต่อมาต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี อย่างสีแดงมีในมะเขือเทศ และแตงโมช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิดโดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และข้อมูลล่าสุดเชื่อว่า้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับอ่อนได้ สีม่วงองุ่นทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่พันธุ์ สีเขียวบล็อกโคลี่ จะมีสารต้านการเกิดมะเร็ง เช่น อินโดลคาร์บินอล และไอโซไธโอไซยาเนต ส่วนสีส้มแครอท จะช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง รู้อย่างนี้แล้วอย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับอาหารมื้อนั้นได้ด้วย
เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารเป็นน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญน้ำมันที่ใช้ทอดต้องไม่ใช้ซ้ำๆ กัน เพราะเมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดโรคมะเร้งได้
เสริมสร้างกระดูกด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง กินเต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ที่สำคัญต้องบอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อจนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !! ถ้ายังไม่เริ่มลองเริ่มตั้งแต่ตอนนี้สิ แล้วคุณจะรู้สุขภาพดีคือ “เพื่อน” คุณ
เริ่มต้นกันที่การรับประทานอาหารเช้า มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองให้พร้อมที่จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีกด้วย เพราะการรับประทานอาหารเช้าเป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจและพลังชีวิตไปตลอดทั้งวัน ที่สำคัญยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
ต่อมาเป็นเรื่องของการดื่มน้ำ หากใครที่ไม่ชอบดื่มน้ำเรื่องนี้สำคัญมากเช่นกัน เพราะโดยปกติแล้วคนเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆ มีอาการร้อนหรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น ที่สำคัญการดื่มน้ำจะช่วยในการหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่ายกำจัดของเสียโดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้ อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับความเข้มข้นของเลือด ทำให้กล้ามเนื้อมีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่น จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
ต่อมาต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี อย่างสีแดงมีในมะเขือเทศ และแตงโมช่วยป้องกันมะเร็งหลายชนิดโดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และข้อมูลล่าสุดเชื่อว่า้สามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ และมะเร็งตับอ่อนได้ สีม่วงองุ่นทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งมีการแพร่พันธุ์ สีเขียวบล็อกโคลี่ จะมีสารต้านการเกิดมะเร็ง เช่น อินโดลคาร์บินอล และไอโซไธโอไซยาเนต ส่วนสีส้มแครอท จะช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง รู้อย่างนี้แล้วอย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับอาหารมื้อนั้นได้ด้วย
เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารเป็นน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญน้ำมันที่ใช้ทอดต้องไม่ใช้ซ้ำๆ กัน เพราะเมื่อสะสมในร่างกายเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดโรคมะเร้งได้
เสริมสร้างกระดูกด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง กินเต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ที่สำคัญต้องบอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อจนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !! ถ้ายังไม่เริ่มลองเริ่มตั้งแต่ตอนนี้สิ แล้วคุณจะรู้สุขภาพดีคือ “เพื่อน” คุณ
บอกลา “ฝ้า” ให้หน้าใสปิ๊ง
แนะเลี่ยงแสงแดดแรงๆ-สวมหมวก-กางร่ม ช่วยได้
ฝ้า เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี สร้างเม็ดสีเมลานินออกมามากผิดปกติ ลักษณะของฝ้าจะเป็นผื่นสีน้ำตาลหรือดำบนใบหน้า มักพบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก คาง หรือบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น คอและแขน โดยจะเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อยๆ ในช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า
- แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า ทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น หรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.
- ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน และการรับประทานยาคุมกำเนิด
- พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก อย่างไรก็ตาม อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้
- ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท จะมีผื่นดำคล้ายฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า
- เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือสีในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้
การรักษาฝ้า
ฝ้าตื้นซึ่งเป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้าจะตอบสนองต่อการรักษาและหายเร็วกว่าฝ้าลึกซึ่งเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ วิธีการรักษาทำได้ ดังนี้
- การใช้ยาทาฝ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ฝ้าจางลง ยาทาฝ้าจะลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีและเร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนให้หลุดลอกออกไป ยารักษาฝ้ามีหลายชนิด เช่น ยาในกลุ่มสารไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ และคอร์ติโคสเตอรอยด์
ควรใช้ยาทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนกว่าฝ้าจะจางลง โดยทาบริเวณที่เป็นฝ้าก่อนนอนทุกคืน เมื่อรอยฝ้าจางหายไป ให้ทาต่อไปสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ยาทาฝ้า เพราะยาเหล่านี้มีผลข้างเคียง หากซื้อยามาใช้เอง อาจทำให้ผิวหน้าเกิดปัญหายิ่งกว่าเดิมได้
ในสมัยก่อนนิยมใช้สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า เนื่องจากทำให้ฝ้าจางลงเร็วมาก อย่างไรก็ตาม วงการแพทย์ในปัจจุบันได้พัฒนาสารกลุ่มอื่นขึ้นมาใช้ด้วย เนื่องจากสารไฮโดรควิโนนเป็นสารที่มีผลข้างเคียงสูง คือเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด หากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิม และเมื่อใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันนานๆ จะเกิดฝ้าถาวร มีลักษณะเหมือนเม็ดงาเล็กๆ ฝังอยู่ในผิวหน้า ฝ้าชนิดนี้จะหนาและเข้มกว่าฝ้าปกติมาก และหากหยุดใช้ไฮโดรควิโนน หน้าจะดำกว่าเดิมอยู่เป็นเวลานาน ฝ้าที่เกิดจากไฮโดรควิโนนต้องรักษาโดยการผลัดเซลล์ผิวประกอบไปด้วย
- การลอกหน้าด้วยสารเคมี อาจทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญเท่านั้น
- การรักษาด้วยแสงเลเซอร์และวิธีไอออนโตโฟเรซิส คือการใช้กระแสไฟฟ้าผลักประจุยาเข้าสู่ผิวหนัง ให้ผลการรักษายังไม่แน่นอน และยังไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้
การป้องกันการเกิดฝ้า
ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ สวมหมวกหรือกางร่ม และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกแดด หากฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น โดยปกติแล้วหากหยุดยาคุมกำเนิด ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป เช่นเดียวกับฝ้าที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า
- แสงแดด เชื่อว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า ทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น หรือทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.
- ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์ ในวัยหมดประจำเดือน และการรับประทานยาคุมกำเนิด
- พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า เนื่องจากพบฝ้าได้บ่อยในชาวเอเชียมากกว่าชาวตะวันตก อย่างไรก็ตาม อาจเนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมหรือแสงแดดก็เป็นได้
- ยา พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยากันชักบางประเภท จะมีผื่นดำคล้ายฝ้าขึ้นบริเวณใบหน้า จึงเชื่อว่ายานี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า
- เครื่องสำอาง การแพ้น้ำหอมหรือสีในเครื่องสำอางอาจทำให้เกิดรอยดำคล้ายฝ้าได้
การรักษาฝ้า
ฝ้าตื้นซึ่งเป็นฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นหนังกำพร้าจะตอบสนองต่อการรักษาและหายเร็วกว่าฝ้าลึกซึ่งเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ วิธีการรักษาทำได้ ดังนี้
- การใช้ยาทาฝ้า เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ฝ้าจางลง ยาทาฝ้าจะลดการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีและเร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนให้หลุดลอกออกไป ยารักษาฝ้ามีหลายชนิด เช่น ยาในกลุ่มสารไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ และคอร์ติโคสเตอรอยด์
ควรใช้ยาทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจนกว่าฝ้าจะจางลง โดยทาบริเวณที่เป็นฝ้าก่อนนอนทุกคืน เมื่อรอยฝ้าจางหายไป ให้ทาต่อไปสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ยาทาฝ้า เพราะยาเหล่านี้มีผลข้างเคียง หากซื้อยามาใช้เอง อาจทำให้ผิวหน้าเกิดปัญหายิ่งกว่าเดิมได้
ในสมัยก่อนนิยมใช้สารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้า เนื่องจากทำให้ฝ้าจางลงเร็วมาก อย่างไรก็ตาม วงการแพทย์ในปัจจุบันได้พัฒนาสารกลุ่มอื่นขึ้นมาใช้ด้วย เนื่องจากสารไฮโดรควิโนนเป็นสารที่มีผลข้างเคียงสูง คือเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด หากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิม และเมื่อใช้ไฮโดรควิโนนติดต่อกันนานๆ จะเกิดฝ้าถาวร มีลักษณะเหมือนเม็ดงาเล็กๆ ฝังอยู่ในผิวหน้า ฝ้าชนิดนี้จะหนาและเข้มกว่าฝ้าปกติมาก และหากหยุดใช้ไฮโดรควิโนน หน้าจะดำกว่าเดิมอยู่เป็นเวลานาน ฝ้าที่เกิดจากไฮโดรควิโนนต้องรักษาโดยการผลัดเซลล์ผิวประกอบไปด้วย
- การลอกหน้าด้วยสารเคมี อาจทำให้ฝ้าจางลงได้ แต่ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญเท่านั้น
- การรักษาด้วยแสงเลเซอร์และวิธีไอออนโตโฟเรซิส คือการใช้กระแสไฟฟ้าผลักประจุยาเข้าสู่ผิวหนัง ให้ผลการรักษายังไม่แน่นอน และยังไม่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้
การป้องกันการเกิดฝ้า
ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ สวมหมวกหรือกางร่ม และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกแดด หากฝ้าเกิดจากการรับประทานยาคุมกำเนิด อาจปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น โดยปกติแล้วหากหยุดยาคุมกำเนิด ฝ้าก็จะค่อยๆ จางหายไป เช่นเดียวกับฝ้าที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะค่อยๆ จางหายไปหลังคลอด
วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กะลา..คลายเมื่อยเท้า
เหยียบๆ นวดๆ ช่วยผ่อนคลาย
ทราบหรือไม่ว่า กะลา สามารถช่วยแก้อาการเมื่อยเท้าได้ เรามีวิธีมาบอก...
วิธีทำ คือ หากะลามา 1 ซีก นำมาวางคว่ำลงกับพื้น จากนั้นขึ้นไปเหยียบและหาที่เกาะคอยพยุงตัวไว้ แต่อย่าทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งตัว
ควรกดให้ทั่วเท้า โดยเริ่มจากปลายนิ้วจนถึงบริเวณส้นเท้า เสร็จแล้ว ตะแคงข้างๆ กดลงไปให้ทั่วทั้ง 2 เท้า เวลาเหยียบจะรู้สึกตึงๆ ทั้งขา เหมือนกำลังถูกบีบนวด หากจะให้ดีควรทำในตอนเช้า
ใครที่อยากหายเมื่อยเท้า ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
ทราบหรือไม่ว่า กะลา สามารถช่วยแก้อาการเมื่อยเท้าได้ เรามีวิธีมาบอก...
วิธีทำ คือ หากะลามา 1 ซีก นำมาวางคว่ำลงกับพื้น จากนั้นขึ้นไปเหยียบและหาที่เกาะคอยพยุงตัวไว้ แต่อย่าทิ้งน้ำหนักลงไปทั้งตัว
ควรกดให้ทั่วเท้า โดยเริ่มจากปลายนิ้วจนถึงบริเวณส้นเท้า เสร็จแล้ว ตะแคงข้างๆ กดลงไปให้ทั่วทั้ง 2 เท้า เวลาเหยียบจะรู้สึกตึงๆ ทั้งขา เหมือนกำลังถูกบีบนวด หากจะให้ดีควรทำในตอนเช้า
ใครที่อยากหายเมื่อยเท้า ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
กลิ่นปาก แก้ได้..
คุณเคยมีปัญหากลิ่นเหม็นที่เกิดจากปากไหม?
ซึ่งกลิ่นที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกันกับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์ โดยเป็นผลมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามส่วนต่างๆ ของช่องปากทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น
ซึ่งกลิ่นเหม็นในช่องปากสามารถแยกออกได้ 4 แบบ คือ แบบที่หนึ่งกลิ่นที่เกิดจากฟัน แบบที่สองกลิ่นที่เกิดจากโรคปริทันต์และซอกเหงือก แบบที่สามเกิดจากด้านหลังของลิ้น แบบที่สี่กลิ่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่
โดยทั่วไปแล้วกลิ่นปากที่พบมากที่สุดในช่องปากคือที่ร่องเหงือก ลิ้น ครอบฟันบริเวณที่อุดฟัน โรคปริทันต์ ฟันที่ผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ซึ่งมีเศษอาหารตกค้าง การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อย และในคนสูบบุหรี่ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายในช่องปากและนอกช่องปาก
กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก เป็นผลมาจากแผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก แผลที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันหรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก ฟันผุที่มีเศษอาหารสามารถตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน โรคปริทันต์ที่ลุกลาม ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะรอบฟันเป็นที่สะสมของเศษอาหาร ผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือเครื่องมือต่างๆ ในช่องปาก เช่น เฝือกสบฟัน เครื่องมือจัดฟัน หรือ เครื่องมือกันฟันล้ม ที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดกลิ่นในช่องปาก
น้ำลายก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ซึ่งในช่องปากของคนเรามีน้ำลายเป็นเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติให้มาเพื่อช่วยชะล้างสิ่งสกปรก กลิ่นปากเมื่อในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมากช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย เนื่องจากน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยปกติน้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว การคิดถึงอาหารที่อร่อย หรืออาหารที่ชอบมากๆ แต่ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับ ภาวะการอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้
บางครั้งกลิ่นเหม็นจากช่องปาก สามารถเกิดได้จาก ลิ้น บริเวณโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ ซึ่งอาการนี้จะทำให้มีน้ำเมือกจากช่องจมูกไหลลงคอในระยะแรกๆ แต่อาการนี้จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากในระยะแรกๆ แต่เมื่อทิ้งระยะไว้สัก 2-3 วัน แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่นนี้ได้โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมกลิ่นดู โดยปกติคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะได้กลิ่นเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแก้ไขด้วยการแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างอยู่ในช่องปากนี้ได้
การสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วไปของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่นๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้
การหายใจทางปากบ่อย ทำให้น้ำลายแห้ง ดังนั้นการหายใจทางปากจึงส่งผลให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น และเกิดกลิ่นปากได้มากขึ้นเช่นกัน
การรับประทานอาหารก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่นกัน อาทิ หัวหอม หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารพวกนี้จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกแล้ว กลิ่นก็จะหายไปได้เอง
แต่สำหรับในบางกรณีระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่เกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น
โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงจมูก โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย
ซึ่งวิธีทดสอบง่ายๆ หากอยากรู้ว่าเรามีกลิ่นปากหรือไม่สามารถทำได้โดยใช้วิธีเอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก และดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ หรืออาจจะใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู ในบางคนอาจจะใช้นิ้วมือถูที่บริเวณเหงือก แล้วนำมาดมกลิ่นว่าเหม็นหรือไม่
ใช้วิธีขอร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้
เมื่อรู้ว่าเรามีกลิ่นปากสามารถดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปากได้ง่ายๆ ด้วยการดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ หากมีสภาพเหงือกหรือฟันที่เป็นโรค ควรรีบรักษา หรือปรึกษาทันตแพทย์ทันที ในกรณีที่มีฟันเก มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่เป็นแหล่งทำให้มีเศษอาหารตกค้าง ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากการแปรงฟัน
ลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาดและแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น ที่สำคัญต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปากรีบดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดของปากรับรอง ไม่นานมีคนอยากเข้าใกล้คุณอีกเพียบ….
ซึ่งกลิ่นที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกันกับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์ โดยเป็นผลมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามส่วนต่างๆ ของช่องปากทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น
ซึ่งกลิ่นเหม็นในช่องปากสามารถแยกออกได้ 4 แบบ คือ แบบที่หนึ่งกลิ่นที่เกิดจากฟัน แบบที่สองกลิ่นที่เกิดจากโรคปริทันต์และซอกเหงือก แบบที่สามเกิดจากด้านหลังของลิ้น แบบที่สี่กลิ่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่
โดยทั่วไปแล้วกลิ่นปากที่พบมากที่สุดในช่องปากคือที่ร่องเหงือก ลิ้น ครอบฟันบริเวณที่อุดฟัน โรคปริทันต์ ฟันที่ผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ซึ่งมีเศษอาหารตกค้าง การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อย และในคนสูบบุหรี่ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายในช่องปากและนอกช่องปาก
กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก เป็นผลมาจากแผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก แผลที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันหรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก ฟันผุที่มีเศษอาหารสามารถตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน โรคปริทันต์ที่ลุกลาม ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะรอบฟันเป็นที่สะสมของเศษอาหาร ผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือเครื่องมือต่างๆ ในช่องปาก เช่น เฝือกสบฟัน เครื่องมือจัดฟัน หรือ เครื่องมือกันฟันล้ม ที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดกลิ่นในช่องปาก
น้ำลายก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ซึ่งในช่องปากของคนเรามีน้ำลายเป็นเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติให้มาเพื่อช่วยชะล้างสิ่งสกปรก กลิ่นปากเมื่อในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมากช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย เนื่องจากน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยปกติน้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว การคิดถึงอาหารที่อร่อย หรืออาหารที่ชอบมากๆ แต่ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับ ภาวะการอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้
บางครั้งกลิ่นเหม็นจากช่องปาก สามารถเกิดได้จาก ลิ้น บริเวณโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ ซึ่งอาการนี้จะทำให้มีน้ำเมือกจากช่องจมูกไหลลงคอในระยะแรกๆ แต่อาการนี้จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากในระยะแรกๆ แต่เมื่อทิ้งระยะไว้สัก 2-3 วัน แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่นนี้ได้โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมกลิ่นดู โดยปกติคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะได้กลิ่นเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแก้ไขด้วยการแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างอยู่ในช่องปากนี้ได้
การสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วไปของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่นๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้
การหายใจทางปากบ่อย ทำให้น้ำลายแห้ง ดังนั้นการหายใจทางปากจึงส่งผลให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น และเกิดกลิ่นปากได้มากขึ้นเช่นกัน
การรับประทานอาหารก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่นกัน อาทิ หัวหอม หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารพวกนี้จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกแล้ว กลิ่นก็จะหายไปได้เอง
แต่สำหรับในบางกรณีระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่เกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น
โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงจมูก โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย
ซึ่งวิธีทดสอบง่ายๆ หากอยากรู้ว่าเรามีกลิ่นปากหรือไม่สามารถทำได้โดยใช้วิธีเอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก และดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ หรืออาจจะใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู ในบางคนอาจจะใช้นิ้วมือถูที่บริเวณเหงือก แล้วนำมาดมกลิ่นว่าเหม็นหรือไม่
ใช้วิธีขอร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้
เมื่อรู้ว่าเรามีกลิ่นปากสามารถดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปากได้ง่ายๆ ด้วยการดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ หากมีสภาพเหงือกหรือฟันที่เป็นโรค ควรรีบรักษา หรือปรึกษาทันตแพทย์ทันที ในกรณีที่มีฟันเก มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่เป็นแหล่งทำให้มีเศษอาหารตกค้าง ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากการแปรงฟัน
ลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาดและแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น ที่สำคัญต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปากรีบดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดของปากรับรอง ไม่นานมีคนอยากเข้าใกล้คุณอีกเพียบ….
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เหตุผลที่ควรเลิก ‘บุหรี่’
คุณทำได้แน่ แค่ตั้งใจ
บุหรี่เป็นสิ่งเสพติดที่มีพิษภัยทั้งต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์รวมถึงห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ แต่ยังมีวัยรุ่นบางส่วนที่นิยมสูบบุหรี่ อาจเนื่องจากความคิดที่ว่าดูเท่ โก้เก๋แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ มีเพื่อนหรือคนในครอบครัวสูบบุหรี่ บางคนสูบบุหรี่เพื่อระบายความเครียดจากปัญหาที่เกิดขึ้น
พ่อแม่จึงควรมีบทบาทในการป้องกันลูกวัยรุ่นให้รอดพ้นจากบุหรี่โดย พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่สูบบุหรี่ให้ลูกเห็น ให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่ปราศจากบุหรี่ ไม่ควรให้ลูกเริ่มลองสูบบุหรี่ ให้ลูกรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก ให้เวลาแก่ลูกเพื่อให้ลูกได้พูดคุยระบายความเครียด รวมถึงมีข้อเสนอแนะและมุมมองใหม่ๆ ที่เหมาะสมแก่ลูก
สร้างความภาคภูมิใจและคุณค่าในตนเองให้กับลูก พูดคุยให้ลูกเข้าใจถึงแนวทางการแก้ปัญหาและคลายเครียดโดยไม่ต้องพึ่งพาบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกสามารถคิดตัดสินใจและชั่งใจตนเองก่อนที่จะลองสูบบุหรี่
นอกจากราคาแพงขึ้น ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่ควรจะเลิกบุหรี่ ดังนี้
1. จากสถิติพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่ติดบุหรี่ โอกาสที่ลูกจะติดตามไปด้วยสูงถึงร้อยละ 70 เพราะลูกจะเกิดค่านิยมทางบวกต่อการสูบบุหรี่และเลียนแบบพ่อแม่
2. ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสแปปปิลโลมาบริเวณปากมดลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งปากมดลูกที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ มีเปอร์เซ็นต์กลายเป็นมะเร็งปากมดลูกสูง
3. หญิงมีครรภ์ที่สูบบุหรี่มีโอกาสแท้งลูก คลอดลูกก่อนกำหนด หรือทารกตายขณะคลอด
4. เด็กในบ้านที่ผู้ใหญ่สูบบุหรี่มักตรวจพบสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของนิโคติน และสารก่อมะเร็งในน้ำลายและปัสสาวะ มีโอกาสป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ และปอดบวมมากกว่าเด็กในบ้านที่ไม่มีคนสูบบุหรี่
5. โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ แทบทุกโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบและถุงลมโป่งพอง
6. บุหรี่รสเมนทอลผสมที่ทำให้ผู้สูบเย็นคอ แม้จะไม่เป็นพิษต่อร่างกายแต่ก็ทำให้ติดบุหรี่ง่าย เมื่อสูบมากขึ้นจะทำให้รับสารพิษจากควันบุหรี่เข้าสู่ปอดมากขึ้น
7. หลอดพลาสติกหรือโลหะที่ต่อกับก้นบุหรี่ที่สูบอาจกรองส่วนประกอบของควันบุหรี่ที่เป็นอนุภาคขนาดใหญ่บางส่วนได้ แต่ส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กที่เป็นควันจะผ่านก้นกรองไปได้อยู่ดี
8. สารไนโตรเจนออกไซด์ในควันบุหรี่เป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมฉีกขาด และรวมตัวเป็นถุงลมขนาดใหญ่ขึ้น นำไปสู่โรคถุงลมโป่งพอง ผลวิจัยร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองระยะสุดท้ายจะเสียชีวิตใน 10 ปี
9. ผู้สูบบุหรี่จะปรากฏรอยตีนกาเร็วกว่าและมากกว่าผู้ไม่สูบ เนื่องจากนิโคตินทำให้เส้นเลือดทั่วตัว รวมถึงบริเวณผิวหนังหดตัวตลอดเวลา โดยเฉลี่ยผู้ที่สูบบุหรี่จนติดอวัยวะทุกระบบจะเสื่อมหรือแก่เร็วขึ้นกว่าผู้ไม่สูบประมาณ 10 ปี
10. นิโคตินเป็นสารเสพติดมีฤทธิ์กระตุ้นสมองอย่างแรงในระยะแรก แต่ต่อมาจะกดสมองและทำให้ผู้สูบบุหรี่คิดช้าลงหรือคิดไม่ออก ต้องเริ่มสูบบุหรี่ใหม่เพื่อกระตุ้นสมองอีกครั้ง
11. ผู้สูบบุหรี่ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ช่องปาก และลิ้น
รู้อย่างนี้แล้ว จะกลืนควันกันต่ออีกไหม?
บุหรี่เป็นสิ่งเสพติดที่มีพิษภัยทั้งต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง ปัจจุบันจึงมีการรณรงค์รวมถึงห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ แต่ยังมีวัยรุ่นบางส่วนที่นิยมสูบบุหรี่ อาจเนื่องจากความคิดที่ว่าดูเท่ โก้เก๋แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ มีเพื่อนหรือคนในครอบครัวสูบบุหรี่ บางคนสูบบุหรี่เพื่อระบายความเครียดจากปัญหาที่เกิดขึ้น
พ่อแม่จึงควรมีบทบาทในการป้องกันลูกวัยรุ่นให้รอดพ้นจากบุหรี่โดย พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่สูบบุหรี่ให้ลูกเห็น ให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่ปราศจากบุหรี่ ไม่ควรให้ลูกเริ่มลองสูบบุหรี่ ให้ลูกรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น การออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก ให้เวลาแก่ลูกเพื่อให้ลูกได้พูดคุยระบายความเครียด รวมถึงมีข้อเสนอแนะและมุมมองใหม่ๆ ที่เหมาะสมแก่ลูก
สร้างความภาคภูมิใจและคุณค่าในตนเองให้กับลูก พูดคุยให้ลูกเข้าใจถึงแนวทางการแก้ปัญหาและคลายเครียดโดยไม่ต้องพึ่งพาบุหรี่ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกสามารถคิดตัดสินใจและชั่งใจตนเองก่อนที่จะลองสูบบุหรี่
นอกจากราคาแพงขึ้น ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่ควรจะเลิกบุหรี่ ดังนี้
1. จากสถิติพบว่า ถ้าพ่อหรือแม่ติดบุหรี่ โอกาสที่ลูกจะติดตามไปด้วยสูงถึงร้อยละ 70 เพราะลูกจะเกิดค่านิยมทางบวกต่อการสูบบุหรี่และเลียนแบบพ่อแม่
2. ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีอัตราการติดเชื้อไวรัสแปปปิลโลมาบริเวณปากมดลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งปากมดลูกที่ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ มีเปอร์เซ็นต์กลายเป็นมะเร็งปากมดลูกสูง
3. หญิงมีครรภ์ที่สูบบุหรี่มีโอกาสแท้งลูก คลอดลูกก่อนกำหนด หรือทารกตายขณะคลอด
4. เด็กในบ้านที่ผู้ใหญ่สูบบุหรี่มักตรวจพบสารที่เกิดจากการเผาไหม้ของนิโคติน และสารก่อมะเร็งในน้ำลายและปัสสาวะ มีโอกาสป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ และปอดบวมมากกว่าเด็กในบ้านที่ไม่มีคนสูบบุหรี่
5. โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ แทบทุกโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบและถุงลมโป่งพอง
6. บุหรี่รสเมนทอลผสมที่ทำให้ผู้สูบเย็นคอ แม้จะไม่เป็นพิษต่อร่างกายแต่ก็ทำให้ติดบุหรี่ง่าย เมื่อสูบมากขึ้นจะทำให้รับสารพิษจากควันบุหรี่เข้าสู่ปอดมากขึ้น
7. หลอดพลาสติกหรือโลหะที่ต่อกับก้นบุหรี่ที่สูบอาจกรองส่วนประกอบของควันบุหรี่ที่เป็นอนุภาคขนาดใหญ่บางส่วนได้ แต่ส่วนประกอบที่เป็นอนุภาคเล็กที่เป็นควันจะผ่านก้นกรองไปได้อยู่ดี
8. สารไนโตรเจนออกไซด์ในควันบุหรี่เป็นตัวทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมฉีกขาด และรวมตัวเป็นถุงลมขนาดใหญ่ขึ้น นำไปสู่โรคถุงลมโป่งพอง ผลวิจัยร้อยละ 70 ของผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองระยะสุดท้ายจะเสียชีวิตใน 10 ปี
9. ผู้สูบบุหรี่จะปรากฏรอยตีนกาเร็วกว่าและมากกว่าผู้ไม่สูบ เนื่องจากนิโคตินทำให้เส้นเลือดทั่วตัว รวมถึงบริเวณผิวหนังหดตัวตลอดเวลา โดยเฉลี่ยผู้ที่สูบบุหรี่จนติดอวัยวะทุกระบบจะเสื่อมหรือแก่เร็วขึ้นกว่าผู้ไม่สูบประมาณ 10 ปี
10. นิโคตินเป็นสารเสพติดมีฤทธิ์กระตุ้นสมองอย่างแรงในระยะแรก แต่ต่อมาจะกดสมองและทำให้ผู้สูบบุหรี่คิดช้าลงหรือคิดไม่ออก ต้องเริ่มสูบบุหรี่ใหม่เพื่อกระตุ้นสมองอีกครั้ง
11. ผู้สูบบุหรี่ทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก ช่องปาก และลิ้น
รู้อย่างนี้แล้ว จะกลืนควันกันต่ออีกไหม?
7 ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ
แนะ ห้ามใช้ยานอนหลับเด็ดขาด
ข้อพึงปฏิบัติต่อไปนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาอาการนอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ
1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง
2.ถ้าจะมีการงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆ ได้
3.ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น
4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ
5.พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น
7.ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้
ข้อพึงปฏิบัติต่อไปนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อยๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย การรักษาอาการนอนไม่หลับมักจะต้องใช้เวลาพอสมควร ผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ
1.เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง
2.ถ้าจะมีการงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆ ได้
3.ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น
4.ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ
5.พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหลับ เช่น กาแฟ บุหรี่ เป็นต้น
7.ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้นจะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้
วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ยาไอซ์...ผลึกใสร้ายไม่แพ้ใคร!!
กระตุ้นประสาท ทำก้าวร้าว นอนไม่หลับ
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยทำลายยาเสพติดของกลาง น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 6,121 กิโลกรัม จาก 4,426 คดี รวมมูลค่า 9,369 ล้านบาท และยังมียาเสพติดของกลางที่รอการทำลายอีกจำนวนมาก ประกอบด้วย
เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า จำนวน 2,737.75 กิโลกรัม หรือประมาณ 30 ล้านเม็ด
เฮโรอีน 228.32 กิโลกรัม
เอ็กซ์ตาซี่ หรือ ยาอี 10.48 กิโลกรัม หรือประมาณ 41,908 เม็ด
โคเคน 9.23 กิโลกรัม
เคตามีน หรือ ยาเค 3.11 กิโลกรัม ประมาณ 310 ขวด
โคเดอีน 105.59 กิโลกรัม (ประมาณ 81.2 ลิตร)
ฝิ่น 42.29 กิโลกรัม
และกัญชา/กระท่อม 3.014 กิโลกรัม
ยาไอซ์ จัดอยู่ในสารกลุ่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ประเภทเดียวกันกับยาบ้า ยาม้า ยาไอซ์มีชื่อเรียกในชื่ออื่นว่าเกล็ดหิมะ หรือกร๊าซ เป็นยาเสพติดที่มีลักษณะเป็นผลึกใสเหมือนแก้ว มีขนาดใหญ่กว่าผงชูรสเล็กน้อย มีราคาแพงที่สุดในกลุ่ม CLUB DRUG หรือเป็นยาเสพติดที่มักใช้ในกลุ่มนักเที่ยว
เกิดจากกระบวนการผลิตโดยการสกัดให้มีความบริสุทธิ์สูงมากกว่ายาบ้า 10 เท่า กลไกการออกฤทธิ์ของยาไอซ์จะทำให้รู้สึกตื่นตัว บดบังความรู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกเคลิ้มฝัน อยู่นิ่งไม่ได้ นอนไม่หลับ ก้าวร้าว และรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นให้ตื่นตัวอย่างรุนแรง และมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์นาน หากเสพมากจะยิ่งทำให้เกิดความฟุ้งซ่านมาก ผลจากการเสพยาเสพติดมากเกินขนาดจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อเกร็งตัว ตื่นตกใจกลัว ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจชักหรือหมดสติ ระบบหายใจล้มเหลว ช็อกและเสียชีวิตได้
การเสพยาเสพติดแทบทุกชนิด รวมทั้งยาไอซ์จะทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นอย่างแรง เซลล์สมองจะถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหลังการใช้ยานี้เอง และมีข้อสมมติฐานว่าสัมพันธ์กับอุบัติการฆ่าตัวตายในระหว่างการใช้ยา
นอกจากนี้การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคจิต เช่นเดียวกับสารกระตุ้นประสาทตัวอื่นๆ ผู้เสพยาเกิดจากความหลงผิด เพราะในช่วงแรกยาจะออกฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้มเกิดความสุข เหมือนร่างกายกระตุ้นสารเอ็นโดฟินออกมา โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอื่น เช่น การออกกำลังกายตามปกติ แต่เป็นการกระตุ้นหลอกๆ
เมื่อเสพจนติดผลร้ายของการใช้ยาจะเริ่มแสดงออก นอกจากผลทางกายที่ทำให้อ่อนแอลงอย่างชัดเจนแล้ว ยังทำให้ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย หรือเกิดอาการทางจิต ยาเสพติดจึงเป็นแค่ความสุขจอมปลอมเพียงชั่วระยะสั้นๆ จากนั้นผู้เสพจะตกนรกทั้งชีวิต
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยทำลายยาเสพติดของกลาง น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 6,121 กิโลกรัม จาก 4,426 คดี รวมมูลค่า 9,369 ล้านบาท และยังมียาเสพติดของกลางที่รอการทำลายอีกจำนวนมาก ประกอบด้วย
เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า จำนวน 2,737.75 กิโลกรัม หรือประมาณ 30 ล้านเม็ด
เฮโรอีน 228.32 กิโลกรัม
เอ็กซ์ตาซี่ หรือ ยาอี 10.48 กิโลกรัม หรือประมาณ 41,908 เม็ด
โคเคน 9.23 กิโลกรัม
เคตามีน หรือ ยาเค 3.11 กิโลกรัม ประมาณ 310 ขวด
โคเดอีน 105.59 กิโลกรัม (ประมาณ 81.2 ลิตร)
ฝิ่น 42.29 กิโลกรัม
และกัญชา/กระท่อม 3.014 กิโลกรัม
ยาไอซ์ จัดอยู่ในสารกลุ่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ประเภทเดียวกันกับยาบ้า ยาม้า ยาไอซ์มีชื่อเรียกในชื่ออื่นว่าเกล็ดหิมะ หรือกร๊าซ เป็นยาเสพติดที่มีลักษณะเป็นผลึกใสเหมือนแก้ว มีขนาดใหญ่กว่าผงชูรสเล็กน้อย มีราคาแพงที่สุดในกลุ่ม CLUB DRUG หรือเป็นยาเสพติดที่มักใช้ในกลุ่มนักเที่ยว
เกิดจากกระบวนการผลิตโดยการสกัดให้มีความบริสุทธิ์สูงมากกว่ายาบ้า 10 เท่า กลไกการออกฤทธิ์ของยาไอซ์จะทำให้รู้สึกตื่นตัว บดบังความรู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกเคลิ้มฝัน อยู่นิ่งไม่ได้ นอนไม่หลับ ก้าวร้าว และรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองเกินไป
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นให้ตื่นตัวอย่างรุนแรง และมีระยะเวลาในการออกฤทธิ์นาน หากเสพมากจะยิ่งทำให้เกิดความฟุ้งซ่านมาก ผลจากการเสพยาเสพติดมากเกินขนาดจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อเกร็งตัว ตื่นตกใจกลัว ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจชักหรือหมดสติ ระบบหายใจล้มเหลว ช็อกและเสียชีวิตได้
การเสพยาเสพติดแทบทุกชนิด รวมทั้งยาไอซ์จะทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นอย่างแรง เซลล์สมองจะถูกทำลาย ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหลังการใช้ยานี้เอง และมีข้อสมมติฐานว่าสัมพันธ์กับอุบัติการฆ่าตัวตายในระหว่างการใช้ยา
นอกจากนี้การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคจิต เช่นเดียวกับสารกระตุ้นประสาทตัวอื่นๆ ผู้เสพยาเกิดจากความหลงผิด เพราะในช่วงแรกยาจะออกฤทธิ์ทำให้เคลิบเคลิ้มเกิดความสุข เหมือนร่างกายกระตุ้นสารเอ็นโดฟินออกมา โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยอื่น เช่น การออกกำลังกายตามปกติ แต่เป็นการกระตุ้นหลอกๆ
เมื่อเสพจนติดผลร้ายของการใช้ยาจะเริ่มแสดงออก นอกจากผลทางกายที่ทำให้อ่อนแอลงอย่างชัดเจนแล้ว ยังทำให้ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย หรือเกิดอาการทางจิต ยาเสพติดจึงเป็นแค่ความสุขจอมปลอมเพียงชั่วระยะสั้นๆ จากนั้นผู้เสพจะตกนรกทั้งชีวิต
ถนอม ‘ดวงตา’ หน้าคอมพิวเตอร์
แนะวิธีบริหารกล้ามเนื้อคลายเมื่อย
สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ไม่ใครก็ใครคงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรือมีอาการทางสายตาอื่นๆ บ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดหลัง เมื่อยคอ อาการเหล่านี้มักเกิดกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมงต่อวัน หรือมากกว่านั้น หรือไม่ก็เริ่มมีอาการอย่างที่บอกบ้างแล้ว ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น
อาการตาแห้งเกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ และควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ชม. จัดระดับจดภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่กว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
3. ปรับความสว่างของห้อง
ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงานเพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่างควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วนและไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้านที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า
4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่
เวลาพิมพ์งานควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เรายังสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์แบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นตาที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์
ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อนที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา
ทุกๆ ชั่วโมงควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาแบบง่ายๆ
การบริหารกล้ามเนื้อตาเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อตาเพื่อช่วยลดความตึงเครียดของดวงตา อาการเพลียตา หรือปวดตาเนื่องจากใช้สายตามาก โดยมีวิธีปฎิบัติดังนี้
1. กลอกตาขึ้น - ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยเหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ในระหว่างการบริหารอย่างเกร็งลูกตา
2. กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุด และซ้ายสุด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง
3. ชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2 - 3 วินาที ทำสลับไปมาเช่นนี้ประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ
4. กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกา ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ
สุดท้ายคือคำแนะนำจากความปรารถนาดีว่า เราควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตาเป็นประจำ เพราะโรคตาบางอย่างจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงขั้นรุนแรงแล้ว หากตรวจพบโรคตาตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียสายตาได้ ดวงตาของเรามีค่าควรถนอมรักษาให้อยู่กับเรานานเท่านาน
สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ไม่ใครก็ใครคงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรือมีอาการทางสายตาอื่นๆ บ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่าผู้ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศีรษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดหลัง เมื่อยคอ อาการเหล่านี้มักเกิดกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
ถ้าหากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมงต่อวัน หรือมากกว่านั้น หรือไม่ก็เริ่มมีอาการอย่างที่บอกบ้างแล้ว ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์
1. กะพริบตาให้ถี่ขึ้น
อาการตาแห้งเกิดจากการที่เรากะพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกะพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้งควรจะกะพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ และควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ชม. จัดระดับจดภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่กว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป
3. ปรับความสว่างของห้อง
ควรปิดไฟบางดวงที่รบกวนการทำงานเพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่างควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วนและไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีพื้นผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้านที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า
4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่
เวลาพิมพ์งานควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เรายังสามารถอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์แบบเก่า (CRT)
5. เลือกใช้แว่นตาที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์
ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อนที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือหรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป
6. พักสายตา
ทุกๆ ชั่วโมงควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาแบบง่ายๆ
การบริหารกล้ามเนื้อตาเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อตาเพื่อช่วยลดความตึงเครียดของดวงตา อาการเพลียตา หรือปวดตาเนื่องจากใช้สายตามาก โดยมีวิธีปฎิบัติดังนี้
1. กลอกตาขึ้น - ลงช้าๆ 6 ครั้ง โดยเหลือบตาขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด ในระหว่างการบริหารอย่างเกร็งลูกตา
2. กลอกตาไปข้างขวาและซ้ายสลับกัน โดยกลอกตาไปให้ขวาสุด และซ้ายสุด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง
3. ชูนิ้วขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 8 นิ้ว แล้วจ้องมองไปที่ระยะไกลๆ ประมาณ 10 ฟุต สลับกับใช้ตามองระยะใกล้ที่นิ้วมือใช้เวลามองแต่ละที่ประมาณ 2 - 3 วินาที ทำสลับไปมาเช่นนี้ประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ
4. กลอกตาเป็นวงกลมช้าๆ โดยเริ่มกลอกตาตามเข็มนาฬิกาก่อน แล้วกลอกตาทวนเข็มนาฬิกา ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที ทำประมาณ 2 - 3 รอบ
สุดท้ายคือคำแนะนำจากความปรารถนาดีว่า เราควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง เพื่อวัดความดันตา ตรวจเช็กจอประสาทตาและความผิดปกติของสายตาเป็นประจำ เพราะโรคตาบางอย่างจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงขั้นรุนแรงแล้ว หากตรวจพบโรคตาตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อช่วยป้องกันการสูญเสียสายตาได้ ดวงตาของเรามีค่าควรถนอมรักษาให้อยู่กับเรานานเท่านาน
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552
เปรี้ยวนิด...พิชิตคราบสกปรก
เคล็ดลับความสะอาดจากของใน “ครัว”
กำจัดเชื้อโรคด้วยเปลือกเลมอน
ทราบหรือไม่ว่า เปลือกเลมอน สามารถช่วยกำจัดเชื้อโรคตามเฟอร์นิเจอร์ได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก...
เลมอน เป็นมะนาวลูกใหญ่เปลือกหนาสีเหลือง เมื่อบีบน้ำมะนาวออกหมดแล้ว สามารถนำเปลือกมาใช้ กำจัดเชื้อโรคจำพวกแบคทีเรีย บริเวณโซฟา ผ้าม่าน พรมได้
วิธีทำ คือ ฝานเปลือกเลมอน 1 ผล แล้วนำไปตากแห้ง 1 วัน จากนั้นหาขวดแก้วสะอาดมาใส่น้ำส้มสายชู 500 มิลลิลิตร เสร็จแล้วให้นำเปลือกมะนาวที่ตากแห้งไว้มาใส่ในขวดแก้ว ปิดฝา เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตากแดด 10 - 14 วัน เสร็จแล้วนำมาเทใส่ในกระบอกฉีดน้ำ และนำฉีดไปตามบริเวณที่ต้องการกำจัดเชื้อโรคได้เลย
น้ำส้มสายชูขจัดคราบฝักบัว
บ้านไหนที่ใช้ฝักบัวมานานและยังไม่เคยทำความสะอาด วันนี้มีวิธีการทำความสะอาดฝักบัวมาบอก...
วิธีทำ คือ นำถุงพลาสติกมา 1 ใบ ใส่น้ำส้มสายชูพอประมาณ เอาฝักบัวใส่ไว้ถุงน้ำส้มสายชูแล้วผูกถุงให้แน่น ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำฝักบัวออกมาล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะได้ฝักบัวที่สะอาดแถมน้ำยังไหลได้สะดวกอีกด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับฝักบัวแบบที่ถอดไม่ได้
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เฟอร์นิเจอร์เต็มไปด้วยเชื้อโรค ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
กำจัดเชื้อโรคด้วยเปลือกเลมอน
ทราบหรือไม่ว่า เปลือกเลมอน สามารถช่วยกำจัดเชื้อโรคตามเฟอร์นิเจอร์ได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก...
เลมอน เป็นมะนาวลูกใหญ่เปลือกหนาสีเหลือง เมื่อบีบน้ำมะนาวออกหมดแล้ว สามารถนำเปลือกมาใช้ กำจัดเชื้อโรคจำพวกแบคทีเรีย บริเวณโซฟา ผ้าม่าน พรมได้
วิธีทำ คือ ฝานเปลือกเลมอน 1 ผล แล้วนำไปตากแห้ง 1 วัน จากนั้นหาขวดแก้วสะอาดมาใส่น้ำส้มสายชู 500 มิลลิลิตร เสร็จแล้วให้นำเปลือกมะนาวที่ตากแห้งไว้มาใส่ในขวดแก้ว ปิดฝา เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำไปตากแดด 10 - 14 วัน เสร็จแล้วนำมาเทใส่ในกระบอกฉีดน้ำ และนำฉีดไปตามบริเวณที่ต้องการกำจัดเชื้อโรคได้เลย
น้ำส้มสายชูขจัดคราบฝักบัว
บ้านไหนที่ใช้ฝักบัวมานานและยังไม่เคยทำความสะอาด วันนี้มีวิธีการทำความสะอาดฝักบัวมาบอก...
วิธีทำ คือ นำถุงพลาสติกมา 1 ใบ ใส่น้ำส้มสายชูพอประมาณ เอาฝักบัวใส่ไว้ถุงน้ำส้มสายชูแล้วผูกถุงให้แน่น ทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำฝักบัวออกมาล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะได้ฝักบัวที่สะอาดแถมน้ำยังไหลได้สะดวกอีกด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับฝักบัวแบบที่ถอดไม่ได้
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เฟอร์นิเจอร์เต็มไปด้วยเชื้อโรค ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้
ดูแลสุขภาพแบบปราชญ์ชาวบ้าน
ใช้สมุนไพรไทย ปรับธาตุให้สมดุล
เอ่ยชื่ออาจารย์ประกอบ อุบลขาว ในแวดวงการแพทย์แผนไทยล้วนรู้จักท่านเป็นอย่างดี ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์หมอแผนไทยทางภาคใต้ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเจออาจารย์ ก็ได้ถามท่านว่าหมอแผนไทยจะรับมืออย่างไรดีกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งอาจารย์แนะว่าให้ใช้ยาปรับธาตุตามฤดูกาลบำรุงร่างกาย
อย่างในฤดูฝนก็ดื่มน้ำตรีกฏุกเป็นหลัก ขับไล่ลมให้เดินสะดวก ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ปกติ ร่างกายก็แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย หรือแนะดื่มน้ำตะไคร้ ช่วยขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยขับสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายออกทางเหงื่อและปัสสาวะ เป็นหลักการง่ายๆ ปรับธาตุเจ้าเรือนให้สมดุล ใช้เครื่องดื่มสมุนไพรและอาหารผักพื้นบ้านให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนและฤดูกาล
ธาตุดิน เกิดเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม กิน ฝาด หวาน มัน เค็ม
ธาตุน้ำ เกิดเดือน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน กิน เปรี้ยว ขม
ธาตุลม เกิดเดือน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กิน เผ็ดร้อน
ธาตุไฟ เกิดเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม กิน ขม เย็น จืด
ฤดูฝน เจ็บป่วยจากธาตุลม ปวดเมื่อยเนื้อตัว ขับถ่ายไม่ออก หายใจติดขัด แน่นหน้าอก แนะกินน้ำขิง ตะไคร้ กระชาย หรือผัดฉ่า ผัดขิง ต้มยำน้ำใส ปรับธาตุลมให้เดินสะดวก ขับเคลื่อนการทำงานของธาตุอื่นๆ
ฤดูหนาว เจ็บป่วยจากธาตุน้ำ อากาศเย็น ทำให้หายใจเอาความเย็นเข้าไป เกิดปอดบวม เป็นไข้หวัดได้ง่าย เสมหะกำเริบ ใช้รสเปรี้ยวของน้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ หรืออาหารประเภทยำที่มีรสเปรี้ยวนำ ปรับธาตุน้ำ
ฤดูร้อน เจ็บป่วยจากธาตุไฟเป็นเหตุ มักร้อนใน กระหายน้ำ เบื่ออาหาร ใช้รสขมบำรุงธาตุไฟ อย่างน้ำใบบัวบก หรือร้อนเกินไปใช้น้ำที่มีรสเย็น จืด ดับไฟ เช่น แตงโม อาหารที่เด่นในฤดูนี้ก็มีข้าวแช่
หรือในระหว่างวันตลอด 24 ชั่วโมงก็ยังแบ่งย่อยได้อีก สามารถเลือกหาน้ำสมุนไพรปรับธาตุในประจำวันได้ คือ
ช่วงเช้าเวลา 06.00 - 10.00 น. มักมีอาการของธาตุน้ำกำเริบ เช่น เจ็บคอ มีเสมหะเหนียวข้น แนะดื่มน้ำที่มีรสเปรี้ยวปรับ
ช่วงสายเวลา 10.00 - 14.00 น. เป็นเวลาที่ธาตุไฟทำงาน น้ำย่อยเรียกหาอาหาร ก็ต้องกินอาหารให้ตรงเวลา ธาตุไฟในร่างกายโดดเด่นกว่าธาตุอื่น อาจใช้น้ำสมุนไพร ใบบัวบก ใบเตย ปรับธาตุ
ช่วงเวลา 14.00 - 18.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลมมาแทนที่ ได้เวลาลมสว้าน แน่นหน้าอก หาวเรอ ลมพิการ ไม่อยากทำงานอยากนอนท่าเดียว แน่นหน้าอกมากเข้าก็พานลมจับ ก็ต้องใช้น้ำที่มีรสเผ็ดร้อนอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ ตามใจชอบ หรือละลายยาหอมชงดื่มช่วยให้ลมทำงาน
หลักการอย่างนี้แนะตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ดูเหมือนจะป่วยแต่ไม่ป่วย ซึ่งถ้าเข้าใจในหลักการดูแลสุขภาพตนเอง ก็สามารถเลือกหาเครื่องดื่มหรืออาหารช่วยตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ
สำหรับเทคนิคการดูแลสุขภาพ แนะนำให้ใช้สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ตัวยาหลายตัว ได้แก่
ปวดตามข้อ ใช้กระเทียมดองน้ำผึ้งอย่างน้อย 7 วัน กินวันละ 5 - 6 กลีบ
แก้ปวดหัวข้างเดียว (ไมเกรน) กระเทียม 10 - 20 กลีบ กินสด
โรคหอบ เอาใบมะขาม 3 ถ้วย หัวกระเทียม 1 ถ้วย พริกไทย 1 ถ้วย ยาดำ 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย เถาบอระเพ็ด 1 ถ้วย ตำให้แหลกปั้นเป็นเม็ดกิน
นอนไม่หลับ เอาผิวมะกรูด รากชะเอม เฉียงพร้า ไพล ขมิ้นอ้อย น้ำหนักเท่ากัน บดเป็นผงชงละลายน้ำร้อนหรือต้มรับประทาน
ความดันโลหิตสูง เอาตะไคร้ทั้งใบ ต้น ราก จำนวน 5 ต้นต้มกิน
มีอาการขี้หลงขี้ลืม เอาพริกไทยขาวบดชงกับน้ำร้อนกิน
แก้เหนื่อยมาก เอาใบมะกอกเพสลาด 1 กำมือ ตำให้แหลกผสมน้ำซาวข้าว คั้นเอาน้ำกิน
แก้ทอนซิลอักเสบ เอาใบหนุมานประสานกาย 7 ใบ ต้มกินน้ำหรือเคี้ยวอม
ปัสสาวะไม่ออก เอาผักบุ้งแดงต้มกับน้ำตาลทรายแดงกิน
และภูมิปัญญาชาวบ้านอันน่าทึ่งหลายๆ เรื่อง ได้แก่ ดับเปรี้ยวด้วยรสเปรี้ยว เนื้อมะขามแพ้น้ำมะนาว สับปะรดเปรี้ยวแพ้น้ำส้มสายชู ใช้น้ำมันมะพร้าวทาที่สันจมูกแก้อาการหายใจไม่ออก ถ้าถูกหมามุ่ยคันให้กินลูกมะขามป้อมแก้ และน้ำส้มสายชูนอกจากให้ความเปรี้ยวยังได้ประโยชน์หลายอย่าง สะอึกไม่หยุดให้ดื่มน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยเล็ก นอนไม่หลับ ใช้น้ำสุกเย็น 1 ถ้วย ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนเข้านอนจะหลับสบาย เมารถเมาเรือ เหยาะน้ำส้มสายชูลงในน้ำดื่ม หายจากอาการเมา และถ้าเป็นกลากเกลื้อน ใช้น้ำส้มสายชูทาวันละ 3 ครั้งจนหาย
เอ่ยชื่ออาจารย์ประกอบ อุบลขาว ในแวดวงการแพทย์แผนไทยล้วนรู้จักท่านเป็นอย่างดี ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์หมอแผนไทยทางภาคใต้ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมายทั่วประเทศ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสเจออาจารย์ ก็ได้ถามท่านว่าหมอแผนไทยจะรับมืออย่างไรดีกับไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งอาจารย์แนะว่าให้ใช้ยาปรับธาตุตามฤดูกาลบำรุงร่างกาย
อย่างในฤดูฝนก็ดื่มน้ำตรีกฏุกเป็นหลัก ขับไล่ลมให้เดินสะดวก ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ปกติ ร่างกายก็แข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย หรือแนะดื่มน้ำตะไคร้ ช่วยขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยขับสิ่งไม่พึงประสงค์ที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายออกทางเหงื่อและปัสสาวะ เป็นหลักการง่ายๆ ปรับธาตุเจ้าเรือนให้สมดุล ใช้เครื่องดื่มสมุนไพรและอาหารผักพื้นบ้านให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนและฤดูกาล
ธาตุดิน เกิดเดือน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม กิน ฝาด หวาน มัน เค็ม
ธาตุน้ำ เกิดเดือน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน กิน เปรี้ยว ขม
ธาตุลม เกิดเดือน เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กิน เผ็ดร้อน
ธาตุไฟ เกิดเดือน มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม กิน ขม เย็น จืด
ฤดูฝน เจ็บป่วยจากธาตุลม ปวดเมื่อยเนื้อตัว ขับถ่ายไม่ออก หายใจติดขัด แน่นหน้าอก แนะกินน้ำขิง ตะไคร้ กระชาย หรือผัดฉ่า ผัดขิง ต้มยำน้ำใส ปรับธาตุลมให้เดินสะดวก ขับเคลื่อนการทำงานของธาตุอื่นๆ
ฤดูหนาว เจ็บป่วยจากธาตุน้ำ อากาศเย็น ทำให้หายใจเอาความเย็นเข้าไป เกิดปอดบวม เป็นไข้หวัดได้ง่าย เสมหะกำเริบ ใช้รสเปรี้ยวของน้ำส้ม มะนาว กระเจี๊ยบ หรืออาหารประเภทยำที่มีรสเปรี้ยวนำ ปรับธาตุน้ำ
ฤดูร้อน เจ็บป่วยจากธาตุไฟเป็นเหตุ มักร้อนใน กระหายน้ำ เบื่ออาหาร ใช้รสขมบำรุงธาตุไฟ อย่างน้ำใบบัวบก หรือร้อนเกินไปใช้น้ำที่มีรสเย็น จืด ดับไฟ เช่น แตงโม อาหารที่เด่นในฤดูนี้ก็มีข้าวแช่
หรือในระหว่างวันตลอด 24 ชั่วโมงก็ยังแบ่งย่อยได้อีก สามารถเลือกหาน้ำสมุนไพรปรับธาตุในประจำวันได้ คือ
ช่วงเช้าเวลา 06.00 - 10.00 น. มักมีอาการของธาตุน้ำกำเริบ เช่น เจ็บคอ มีเสมหะเหนียวข้น แนะดื่มน้ำที่มีรสเปรี้ยวปรับ
ช่วงสายเวลา 10.00 - 14.00 น. เป็นเวลาที่ธาตุไฟทำงาน น้ำย่อยเรียกหาอาหาร ก็ต้องกินอาหารให้ตรงเวลา ธาตุไฟในร่างกายโดดเด่นกว่าธาตุอื่น อาจใช้น้ำสมุนไพร ใบบัวบก ใบเตย ปรับธาตุ
ช่วงเวลา 14.00 - 18.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลมมาแทนที่ ได้เวลาลมสว้าน แน่นหน้าอก หาวเรอ ลมพิการ ไม่อยากทำงานอยากนอนท่าเดียว แน่นหน้าอกมากเข้าก็พานลมจับ ก็ต้องใช้น้ำที่มีรสเผ็ดร้อนอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ ตามใจชอบ หรือละลายยาหอมชงดื่มช่วยให้ลมทำงาน
หลักการอย่างนี้แนะตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ดูเหมือนจะป่วยแต่ไม่ป่วย ซึ่งถ้าเข้าใจในหลักการดูแลสุขภาพตนเอง ก็สามารถเลือกหาเครื่องดื่มหรืออาหารช่วยตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ
สำหรับเทคนิคการดูแลสุขภาพ แนะนำให้ใช้สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ตัวยาหลายตัว ได้แก่
ปวดตามข้อ ใช้กระเทียมดองน้ำผึ้งอย่างน้อย 7 วัน กินวันละ 5 - 6 กลีบ
แก้ปวดหัวข้างเดียว (ไมเกรน) กระเทียม 10 - 20 กลีบ กินสด
โรคหอบ เอาใบมะขาม 3 ถ้วย หัวกระเทียม 1 ถ้วย พริกไทย 1 ถ้วย ยาดำ 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย เถาบอระเพ็ด 1 ถ้วย ตำให้แหลกปั้นเป็นเม็ดกิน
นอนไม่หลับ เอาผิวมะกรูด รากชะเอม เฉียงพร้า ไพล ขมิ้นอ้อย น้ำหนักเท่ากัน บดเป็นผงชงละลายน้ำร้อนหรือต้มรับประทาน
ความดันโลหิตสูง เอาตะไคร้ทั้งใบ ต้น ราก จำนวน 5 ต้นต้มกิน
มีอาการขี้หลงขี้ลืม เอาพริกไทยขาวบดชงกับน้ำร้อนกิน
แก้เหนื่อยมาก เอาใบมะกอกเพสลาด 1 กำมือ ตำให้แหลกผสมน้ำซาวข้าว คั้นเอาน้ำกิน
แก้ทอนซิลอักเสบ เอาใบหนุมานประสานกาย 7 ใบ ต้มกินน้ำหรือเคี้ยวอม
ปัสสาวะไม่ออก เอาผักบุ้งแดงต้มกับน้ำตาลทรายแดงกิน
และภูมิปัญญาชาวบ้านอันน่าทึ่งหลายๆ เรื่อง ได้แก่ ดับเปรี้ยวด้วยรสเปรี้ยว เนื้อมะขามแพ้น้ำมะนาว สับปะรดเปรี้ยวแพ้น้ำส้มสายชู ใช้น้ำมันมะพร้าวทาที่สันจมูกแก้อาการหายใจไม่ออก ถ้าถูกหมามุ่ยคันให้กินลูกมะขามป้อมแก้ และน้ำส้มสายชูนอกจากให้ความเปรี้ยวยังได้ประโยชน์หลายอย่าง สะอึกไม่หยุดให้ดื่มน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยเล็ก นอนไม่หลับ ใช้น้ำสุกเย็น 1 ถ้วย ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนเข้านอนจะหลับสบาย เมารถเมาเรือ เหยาะน้ำส้มสายชูลงในน้ำดื่ม หายจากอาการเมา และถ้าเป็นกลากเกลื้อน ใช้น้ำส้มสายชูทาวันละ 3 ครั้งจนหาย
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
‘ดื่มเพื่อลืมเหนื่อย’ สัญญาณการติดเหล้า!!
สังเกตตัวเอง 'แค่อยากหรือขาดไม่ได้?'
หลังเลิกงานทุกวัน คุณอาจแวะผับหรือกลับไปเปิดไวน์ดื่มที่บ้าน สองวันในหนึ่งสัปดาห์คุณอาจดื่มหนักจนจำอะไรไม่ได้ คุณใช้เวลามากมายไปกับการเมาหรือวางแผนก๊งเหล้า เช้าวันรุ่งขึ้นหลังการร่ำสุรา คุณไปทำงานได้ตามปกติ โดยอาจมีอาการแค่ร่างกายขาดน้ำ ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเล็กน้อยเท่านั้น
หากใครมีพฤติกรรมทำนองนี้ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่เป็นอาการของการติดเหล้าที่ดูเหมือนไม่ส่งผลมากนักต่อชีวิตการทำงานประจำวัน ครอบครัวและมิตรภาพ หรือที่เรียกว่า high - functioning alcoholism - HFA
ซาราห์ อัลเลน เบนตัน เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีอาการนี้ เธอจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์นในบอสตัน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตของวิทยาลัยเอมมานูเอลในบอสตันเช่นเดียวกัน เบนตันเขียนหนังสือชื่อ 'อันเดอร์สแตนดิ้งเดอะ ไฮ - ฟังชันนิ่ง แอลกอฮอลิก' ที่ตีพิมพ์ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม บอกเล่าเรื่องราวการติดเหล้าของตัวเอง และประเมินว่าในบรรดาคนติดเหล้าทั้งหมดมีอย่างน้อย 50% เข้าข่ายเอชเอฟเอ
เธอบอกว่าเริ่มดื่มในงานปาร์ตี้ตั้งแต่อายุ 14 ปีและมีประสบการณ์เมาพับ จำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงดื่มแล้วหยุดไม่ได้ แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยนิสัยนี้ยังติดตัวมาเรื่อย กระนั้น เบนตันยืนยันว่าเธอไม่เคยไปเรียนสาย แถมยังได้เกรดดีมาตลอด
"ดูภายนอกทุกอย่างโอเค แต่พอเหล้าเข้าปากสิ่งที่ไม่เคยทำฉันก็ทำ แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองติดเหล้า คิดว่าก็เหมือนคนทั่วไปที่ดื่มเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเท่านั้น" ด้วยเหตุนี้ เบนตันจึงยังดื่มมาตลอดแม้เมื่อเริ่มทำงานในบริษัทผลิตรายการทีวี
"ฉันอาเจียน จำไม่ได้ว่ากลับบ้านได้อย่างไร เพื่อนต้องคอยเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่เคยปล่อยให้อาการเมาค้างมารบกวนการทำงานแม้แต่ครั้งเดียว"
ทั้งนี้ คนมากมายที่มีอาการเอชเอฟเอไม่ได้ถูกสังคมมองว่าติดเหล้า เพราะไม่ได้ดื่มทุกวัน มิหนำซ้ำยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว และบ่อยครั้งที่ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้พวกเอชเอฟเอปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า
แอลกอฮอลิกส์ อะโนนีมัส องค์กรรณรงค์เพื่อการเลิกเหล้าในอังกฤษ ระบุว่าอาการบ่งชี้อย่างง่ายที่สุดสำหรับเอชเอฟเอคือ อยากดื่ม หรือดื่มแล้วนิสัยเปลี่ยน พร้อมเตือนว่าเอชเอฟเออาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เมาแล้วขับ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือหมดสติ
เบนตันเล่าต่อว่า ในที่สุดเธอก็เลิกเหล้าได้หลังเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง "สิ่งสำคัญคือ ระบบสนับสนุนทางสังคมควบคู่ไปกับการบำบัด การเลิกเหล้าอาจมาพร้อมความกังวลและซึมเศร้า ซึ่งต้องได้รับการบำบัดเช่นเดียวกัน ฉันไม่ดื่มมา 5 ปีแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่สุดคือ การยอมรับว่าตัวเองติดเหล้า แม้ไม่มีอาการบ่งชี้ชัดเจนก็ตาม"
คำแนะนำของเธอง่ายมาก "พยายามควบคุมตัวเองกำหนดว่าจะดื่มครั้งละกี่แก้ว ฉันทำไม่ได้เลยต้องวนเวียนกลับไปหาเหล้าตลอด ฉันต้องรับการบำบัด หลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉัน พลาดบทเรียนสำคัญของชีวิตเพราะมัวแต่ใช้เหล้าแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่น คนที่ชีวิตแต่งงานอับปาง เหล้าเป็นสัญญาณผิดๆ ของความรู้สึกปลอดภัย ทั้งที่จริงกลับทำให้คนคนนั้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาอื่นๆ ได้เลย"
ทั้งนี้ สัญญาณของเอชเอฟเอที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ มีดังนี้
- มีปัญหาในการควบคุมการดื่ม แม้ตัดสินใจกำหนดลิมิตให้ตัวเองแล้วก็ตาม
- พบว่าตัวเองหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่การดื่ม เช่น คราวหน้าจะไปดื่มเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร
- เมื่อดื่มแล้ว พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
- เมาพับ จำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการดื่มไม่ได้
หากใครมีพฤติกรรมทำนองนี้ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่เป็นอาการของการติดเหล้าที่ดูเหมือนไม่ส่งผลมากนักต่อชีวิตการทำงานประจำวัน ครอบครัวและมิตรภาพ หรือที่เรียกว่า high - functioning alcoholism - HFA
ซาราห์ อัลเลน เบนตัน เป็นตัวอย่างของผู้ที่มีอาการนี้ เธอจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์นในบอสตัน ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิตของวิทยาลัยเอมมานูเอลในบอสตันเช่นเดียวกัน เบนตันเขียนหนังสือชื่อ 'อันเดอร์สแตนดิ้งเดอะ ไฮ - ฟังชันนิ่ง แอลกอฮอลิก' ที่ตีพิมพ์ในสหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม บอกเล่าเรื่องราวการติดเหล้าของตัวเอง และประเมินว่าในบรรดาคนติดเหล้าทั้งหมดมีอย่างน้อย 50% เข้าข่ายเอชเอฟเอ
เธอบอกว่าเริ่มดื่มในงานปาร์ตี้ตั้งแต่อายุ 14 ปีและมีประสบการณ์เมาพับ จำอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงดื่มแล้วหยุดไม่ได้ แม้กระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยนิสัยนี้ยังติดตัวมาเรื่อย กระนั้น เบนตันยืนยันว่าเธอไม่เคยไปเรียนสาย แถมยังได้เกรดดีมาตลอด
"ดูภายนอกทุกอย่างโอเค แต่พอเหล้าเข้าปากสิ่งที่ไม่เคยทำฉันก็ทำ แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่าตัวเองติดเหล้า คิดว่าก็เหมือนคนทั่วไปที่ดื่มเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเท่านั้น" ด้วยเหตุนี้ เบนตันจึงยังดื่มมาตลอดแม้เมื่อเริ่มทำงานในบริษัทผลิตรายการทีวี
"ฉันอาเจียน จำไม่ได้ว่ากลับบ้านได้อย่างไร เพื่อนต้องคอยเล่าให้ฟัง แต่ฉันไม่เคยปล่อยให้อาการเมาค้างมารบกวนการทำงานแม้แต่ครั้งเดียว"
ทั้งนี้ คนมากมายที่มีอาการเอชเอฟเอไม่ได้ถูกสังคมมองว่าติดเหล้า เพราะไม่ได้ดื่มทุกวัน มิหนำซ้ำยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว และบ่อยครั้งที่ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้พวกเอชเอฟเอปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหา จึงไม่จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดเหล้า
แอลกอฮอลิกส์ อะโนนีมัส องค์กรรณรงค์เพื่อการเลิกเหล้าในอังกฤษ ระบุว่าอาการบ่งชี้อย่างง่ายที่สุดสำหรับเอชเอฟเอคือ อยากดื่ม หรือดื่มแล้วนิสัยเปลี่ยน พร้อมเตือนว่าเอชเอฟเออาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เมาแล้วขับ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือหมดสติ
เบนตันเล่าต่อว่า ในที่สุดเธอก็เลิกเหล้าได้หลังเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง "สิ่งสำคัญคือ ระบบสนับสนุนทางสังคมควบคู่ไปกับการบำบัด การเลิกเหล้าอาจมาพร้อมความกังวลและซึมเศร้า ซึ่งต้องได้รับการบำบัดเช่นเดียวกัน ฉันไม่ดื่มมา 5 ปีแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่สุดคือ การยอมรับว่าตัวเองติดเหล้า แม้ไม่มีอาการบ่งชี้ชัดเจนก็ตาม"
คำแนะนำของเธอง่ายมาก "พยายามควบคุมตัวเองกำหนดว่าจะดื่มครั้งละกี่แก้ว ฉันทำไม่ได้เลยต้องวนเวียนกลับไปหาเหล้าตลอด ฉันต้องรับการบำบัด หลายคนตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับฉัน พลาดบทเรียนสำคัญของชีวิตเพราะมัวแต่ใช้เหล้าแก้ปัญหา ตัวอย่างเช่น คนที่ชีวิตแต่งงานอับปาง เหล้าเป็นสัญญาณผิดๆ ของความรู้สึกปลอดภัย ทั้งที่จริงกลับทำให้คนคนนั้นไม่สามารถจัดการกับปัญหาอื่นๆ ได้เลย"
ทั้งนี้ สัญญาณของเอชเอฟเอที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ มีดังนี้
- มีปัญหาในการควบคุมการดื่ม แม้ตัดสินใจกำหนดลิมิตให้ตัวเองแล้วก็ตาม
- พบว่าตัวเองหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่การดื่ม เช่น คราวหน้าจะไปดื่มเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร
- เมื่อดื่มแล้ว พฤติกรรมจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
- เมาพับ จำสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการดื่มไม่ได้
ไขมันพอกตับ โรคร้ายเสี่ยง ตับแข็ง สูง
ระบุ ไม่รักษา ตับจะทำงานผิดปกติส่งผลกระทบทั่วร่างกาย
ปัจจุบันไขมันพอตับกลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตับทำงานผิดปกติและอาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด จากข้อมูลทางคลินิกพบว่าคนอ้วนและผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำมีภาวะไขมันพอกตับสูงถึง 50%1 และ 57.7% ตามลำดับ ส่วนผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปมีประมาณ 25% เป็นไขมันพอกตับ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ไขมันพอกตับส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ ผู้ป่วยจึงมักจะไม่รู้ตัวหรือไม่ใส่ใจในการรักษา
ไขมันพอกตับคืออะไร...
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ
- ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ
- ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ
ไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:
- รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
- เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
- อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน
- ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)
- ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมากน้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมีอาการ
ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด
- ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับแปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย
- ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ
- อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...
โคเลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยาเป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
การแพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด
ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:
- ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
- ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ
ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..
ไขมันพอกตับคืออะไร...
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะมีไขมันพอกอยู่บนตับ หากแต่หมายถึง การสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ ทำให้ไขมันโดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักเกิน 5% ของตับ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานผิดปกติ ตับอักเสบและอาจพัฒนาเป็นตับแข็งในที่สุด ไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับมีน้ำหนักประมาณ 5-10% ของตับ
- ระยะกลาง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักประมาณ 10-25% ของตับ
- ระยะรุนแรง: ไขมันที่แทรกอยู่ในเซลล์ตับที่มีน้ำหนักเกิน 30% ของตับ
ไขมันพอกตับส่วนใหญ่จะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อรักษาโรคอย่างอื่น ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยไขมันพอกตับในระยะแรกหรือแม้กระทั่งพัฒนาเป็นตับอักเสบหรือตับแข็งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังไม่แสดงอาการ
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ไขมันพอกตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การดื่มสุรา การสังเคราะห์ไขมันของตับผิดปกติ โรคอ้วน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ตับอักเสบจากไวรัส การขาดสารอาหาร ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การตั้งครรภ์ เป็นต้น
ไขมันพอกตับเกิดจากสาเหตุอะไร...
ผู้ป่วยไขมันพอกตับกว่า 50% ไม่แสดงอาการโดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นไขมันพอกตับระยะแรก แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ภาวะไขมันพอกตับก็จะรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการต่างๆ ดังนี้:
- รู้สึกอึดอัดหรือปวดแน่นบริเวณชายโครงด้านขวา
- เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย
- ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
- อ่อนเพลียง่าย ไม่มีเรี่ยวแรง
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการดีซ่าน (ผิวเหลือง และตาเหลือง) หรือคลื่นไส้ อาเจียน
- ตรวจพบค่าเอ็นไซม์ตับ SGPT, SGOT สูงขึ้น (แสดงว่าตับมีการอักเสบ)
- ระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับไม่อาจวัดด้วยระดับความรุนแรงหรือจำนวนมากน้อยของอาการ เนื่องจากบ่อยครั้งไขมันพอกตับจนเป็นตับแข็งแล้วผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกมีอาการ
ไขมันพอกตับอันตรายเพียงใด
- ทำให้ตับทำงานผิดปกติ
ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งในร่างกายและเป็นเสมือนโรงงานเคมีของร่างกายทำหน้าที่สำคัญหลายๆ อย่าง เช่น กักเก็บสารอาหารสังเคราะห์โปรตีน โคเลสเตอรอลและวิตามิน ผลิตน้ำดีเพื่อย่อยอาหารประเภทไขมัน ควบคุมการสันดาปของฮอร์โมน ผลิตสารที่นำเกล็ดเลือดไปห้ามเลือดเมื่อผนังหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บและกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ฯลฯ เมื่อมีเซลล์ไขมันจำนวนมากแทรกอยู่ในเซลล์ตับจะทำให้โครงสร้างภายในของตับแปรเปลี่ยนไปย่อมจะทำให้ตับทำงานผิดปกติและส่งผลกระทบทั่วทั้งร่างกาย
- ส่งผลกระทบต่อผลการรักษาของโรคเรื้อรังต่างๆ
ไขมันพอกตับใช่ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาเดี่ยวๆ หากแต่เป็นผลพวงของโรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ตับขาดสารอาหาร ตับอักเสบจากไวรัส เป็นต้น ผู้ป่วยไขมันพอกตับจึงมักอยู่คู่กับโรคเรื้อรังหลายอย่างเช่น โรคอ้วน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ เกาต์ นิ่วในถุงน้ำดี เป็นต้น ไขมันพอกตับนอกจากไปเพิ่มความรุนแรงของโรคเรื้อรังเหล่านี้แล้ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลการรักษาของโรคเรื้อรังเหล่านี้ไม่ดีเท่าที่ควรและยากต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของตับให้กลับสู่ภาวะปกติ
- อาจกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
หากไขมันพอกตับไม่มีการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ ตับอักเสบและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด
ยาลดไขมันในเลือดสูงส่งผลกระทบต่อไขมันพอกตับอย่างไร...
โคเลสเตอรอลในร่างกายคนเรา 80% ขึ้นไปสังเคราะห์จากตับ การใช้ยาแผนปัจจุบันเพื่อลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดเป็นประจำจะไปกดการทำงานของตับไม่ให้ปล่อยโคเลสเตอรอลเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ตับสำลักไขมันจนเกิดไขมันพอกตับได้ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อลดการใช้ยาเป็นอีกวิธีสำคัญวิธีหนึ่งในการป้องกันและบรรเทาภาวะไขมันพอกตับได้
การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดอย่างไร...
การแพทย์จีนได้จัดไขมันพอกตับให้อยู่ในกลุ่มโรคของปวดแน่นชายโครง และระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันบกพร่อง ซึ่งมีสาเหตุหลักเกิดจากการรับประทานอาหารหวานๆ มันๆ และแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ตับที่ทำหน้าที่ในการระบายพลังชี่ และม้ามที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหารผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของพลังชี่และของเหลวข้น (เสมหะหรือไขมัน) ในตับ ทำให้การไหลเวียนของพลังชี่และเลือดในตับติดขัดจนทำงานผิดปกติ โดยเฉพาะการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันพอกตับในที่สุด
ถึงแม้ว่าพยาธิสภาพของไขมันพอกตับเกิดขึ้นที่ตับแต่จะส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อการทำงานของม้าม ถุงน้ำดีและกระเพาะอาหาร การแพทย์จีนจึงนิยมใช้วิธีบำบัดแบบองค์รวมดังนี้:
- ระบายพลังชี่อั้นในตับ ทำให้พลังชี่และเลือดในตับไหลเวียนได้สะดวก ตับจึงกลับมาทำงานได้ปกติรวมทั้ง มีการสังเคราะห์ไขมันในปริมาณที่เหมาะสมด้วย
- ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของม้าม ทำให้มีการดูดซึมอาหารโดยเฉพาะไขมันได้ดีไม่ให้เกิดการสะสมในตับ
ไขมันพอกตับจึงค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด..
สิ่งที่ ‘ไม่’ ควรทำหลังทานอิ่ม!
สูบบุหรี่-อาบน้ำ-เดินย่อย เลี่ยงไว้เป็นดี
1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้อง ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือและเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียน บริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้ว ให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปีการเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึม สารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลม หรือแก๊สในทางเดินอาหาร
1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น)
2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้อง ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า
3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก
4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ
5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือและเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียน บริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้ว ให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปีการเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึม สารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ
7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลม หรือแก๊สในทางเดินอาหาร
"หอมแดง" เพิ่มภูมิต้านหวัด
หากไม่เขียนถึงสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านหวัดในช่วงนี้ต้องถือว่าตกยุค ซึ่งผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่สามารถต้านหวัด โดยเฉพาะ "หวัด 2009" ที่กำลังระบาดอยู่ในเวลานี้ ซึ่งความจริงแล้วสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านเชื้อหวัดมีหลายชนิด นิยมใช้มาแต่โบราณ อยู่ที่ว่าใครจะเลือกใช้ชนิดใด ที่กำลังดังและฮือฮากันมาก ได้แก่ ฟ้าทลายโจร ทุกคนทราบวิธีกินวิธีใช้กันดีแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีพืชผักพื้นบ้านอีกหลายอย่างที่คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนกินเป็นอาหารประจำ ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันต้านหวัดได้ เช่น กระเทียม ขิง ใบกะเพรา หรือแม้กระทั่ง มะขามป้อม เคยแนะนำวิธีกินไปเมื่อไม่นานมานี้ กินแล้วต้านหวัดได้ดีเช่นกัน ที่สำคัญหาซื้อง่าย มีผู้ทำเป็นแบบชงน้ำร้อนดื่มหอมอร่อยชื่นใจดี ดื่มประจำไม่มีอันตรายอะไร สามารถป้องกันเชื้อหวัดได้
ใน ส่วนของ "หอมแดง" สามารถต้านเชื้อหวัดได้เหมือนกัน นิยมใช้มาแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น เด็กเป็นหวัด หรือมีอาการคัดจมูกคล้ายจะเป็นหวัด โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว นิยมเรียกว่า "ไข้หัวลม" เอา "หอมแดง" กะจำนวนพอประมาณ ทุบพอแตกต้มกับน้ำจนเดือดราดศีรษะเด็กขณะอุ่นหลังอาบน้ำเสร็จ 2 - 3 ขัน เศษ "หอมแดง" ที่ต้มขยี้ศีรษะเช็ดผมให้สะอาด อาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดหัวลมจะหายได้ นิยมทำตอนเย็น หรือ หากผู้ใหญ่เป็นไข้หัวลม
หรือเป็นหวัด เอา "หอมแดง" กะจำนวนตามต้องการทุบพอแตกต้มน้ำ เดือดแล้วใช้ผ้าคลุมศีรษะรมสูดเอาไอร้อนจากน้ำที่ต้ม หายใจลึกๆ ทำวันละครั้งก่อนนอน อาการที่เป็นจะหายได้ ซึ่งสูตรดังกล่าวสามารถใช้ป้องกันเชื้อหวัดทุกชนิดได้ คนที่ยังไม่เป็นหวัดก็ทำได้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหวัดได้ดีมาก
หอมแดง หรือ ALLIUM ASCALONI - CUM LINN อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE มีขายตามตลาดสดทั่วไป มีคุณค่าทางอาหาร คือ มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้าแคโรทีน มีสารฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีน เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนได้ มีสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด กากใยอาหาร รับประทานหรือทำตามสูตรที่กล่าวข้างต้น ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเชื้อหวัดได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันการติดเชื้อภายนอก ทุกคนควรปฏิบัติ คือ กินอาหารให้ครบหมู่ กินอาหารสุกและร้อนๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหรือพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นล้างมือทำความสะอาดบ่อยๆ และสวมหน้ากากปิดปากจมูกป้องกันเวลาเดินทางไปทำงานหรือออกนอกบ้านเสมอ เท่านี้เชื่อว่าจะรอดพ้นจากการติดเชื้อ "หวัด 2009" ได้ครับ
นอกจากนั้น ยังมีพืชผักพื้นบ้านอีกหลายอย่างที่คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนกินเป็นอาหารประจำ ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันต้านหวัดได้ เช่น กระเทียม ขิง ใบกะเพรา หรือแม้กระทั่ง มะขามป้อม เคยแนะนำวิธีกินไปเมื่อไม่นานมานี้ กินแล้วต้านหวัดได้ดีเช่นกัน ที่สำคัญหาซื้อง่าย มีผู้ทำเป็นแบบชงน้ำร้อนดื่มหอมอร่อยชื่นใจดี ดื่มประจำไม่มีอันตรายอะไร สามารถป้องกันเชื้อหวัดได้
ใน ส่วนของ "หอมแดง" สามารถต้านเชื้อหวัดได้เหมือนกัน นิยมใช้มาแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น เด็กเป็นหวัด หรือมีอาการคัดจมูกคล้ายจะเป็นหวัด โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว นิยมเรียกว่า "ไข้หัวลม" เอา "หอมแดง" กะจำนวนพอประมาณ ทุบพอแตกต้มกับน้ำจนเดือดราดศีรษะเด็กขณะอุ่นหลังอาบน้ำเสร็จ 2 - 3 ขัน เศษ "หอมแดง" ที่ต้มขยี้ศีรษะเช็ดผมให้สะอาด อาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดหัวลมจะหายได้ นิยมทำตอนเย็น หรือ หากผู้ใหญ่เป็นไข้หัวลม
หรือเป็นหวัด เอา "หอมแดง" กะจำนวนตามต้องการทุบพอแตกต้มน้ำ เดือดแล้วใช้ผ้าคลุมศีรษะรมสูดเอาไอร้อนจากน้ำที่ต้ม หายใจลึกๆ ทำวันละครั้งก่อนนอน อาการที่เป็นจะหายได้ ซึ่งสูตรดังกล่าวสามารถใช้ป้องกันเชื้อหวัดทุกชนิดได้ คนที่ยังไม่เป็นหวัดก็ทำได้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อหวัดได้ดีมาก
หอมแดง หรือ ALLIUM ASCALONI - CUM LINN อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE มีขายตามตลาดสดทั่วไป มีคุณค่าทางอาหาร คือ มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้าแคโรทีน มีสารฟลาโวนอยด์ โดยเฉพาะเควอซิทีน เป็นเกราะกันมะเร็งให้กับคนได้ มีสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด กากใยอาหาร รับประทานหรือทำตามสูตรที่กล่าวข้างต้น ช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานเชื้อหวัดได้
อย่างไรก็ตาม การป้องกันการติดเชื้อภายนอก ทุกคนควรปฏิบัติ คือ กินอาหารให้ครบหมู่ กินอาหารสุกและร้อนๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหรือพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นล้างมือทำความสะอาดบ่อยๆ และสวมหน้ากากปิดปากจมูกป้องกันเวลาเดินทางไปทำงานหรือออกนอกบ้านเสมอ เท่านี้เชื่อว่าจะรอดพ้นจากการติดเชื้อ "หวัด 2009" ได้ครับ
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ยอดเคล็ดลับพิชิตกลิ่นปาก
แนะเลิกบุหรี่-ลดเครียด งดอาหารกลิ่นแรง
สาเหตุของกลิ่นปาก
ส่วนใหญ่เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน ซึ่งเป็นที่เก็บกักและสะสมเชื้อโรคต่างๆ
บางคนพบว่าเหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลาย ๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร
ภายหลังตื่นนอนใหม่ๆ กลิ่นปากจะแรง เพราะในขณะที่นอนหลับน้ำลายจะถูกขับออกมาน้อย ทำให้น้ำลายมีการหมุนเวียนน้อย เศษอาหารที่ตกค้างสะสมอยู่จึงมีการบูด เกิดเป็นกลิ่นปากค่อนข้างแรง เมื่อตื่นนอนได้แปรงฟัน และน้ำลายมีการไหลเวียนมากขึ้น กลิ่นปากก็บรรเทาลง
น้ำลายเปรียบเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปาก เมื่อมีน้ำลายหลั่งออกมากทำให้ช่องปากสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย ช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น
น้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากในขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว หรือการคิดถึงอาหารอร่อยๆ ที่ชอบ ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายน้อย เช่น เวลานอน ภาวะอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ตลอดจนภาวะทางจิตใจ ความเครียด อาชีพที่ใช้เสียงมากๆ เช่น ครู ทนายความ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้
กลิ่นเหม็นจากช่องปากบางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ น้ำเมือกที่ไหลลงคอในระยะแรก ๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก สัก 2 - 3 วัน แบคทีเรียจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น
เราสามารถทดสอบกลิ่นโดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบา ๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมดู และกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้
สรุปว่ากลิ่นปากเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราวเท่านั้น
สำหรับกลิ่นปากในเด็ก ท่านผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ ที่พบบ่อย คือ ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้
นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก โรคภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก ท่านผู้ปกครองควรสอนให้เด็กแปรงฟัน และล้างปาก เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสารฟลูออไรด์ ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง สอนเด็กใช้ไหมขัดฟัน หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปากทันที
กลเม็ดพิชิตกลิ่นปาก
- อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมาก ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
- ดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
- แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และอย่างลืมแปรงด้านบนของลิ้น อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย
- ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 - 3 ครั้ง
- ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปาก
- เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
- เคี้ยวใบผักชีฝรั่งหรือกานพลูหลังมื้ออาหาร
- งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ พริกไทย และเนยแข็ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก
- กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม
- เลิกสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ
สาเหตุของกลิ่นปาก
ส่วนใหญ่เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน ซึ่งเป็นที่เก็บกักและสะสมเชื้อโรคต่างๆ
บางคนพบว่าเหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลาย ๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร
ภายหลังตื่นนอนใหม่ๆ กลิ่นปากจะแรง เพราะในขณะที่นอนหลับน้ำลายจะถูกขับออกมาน้อย ทำให้น้ำลายมีการหมุนเวียนน้อย เศษอาหารที่ตกค้างสะสมอยู่จึงมีการบูด เกิดเป็นกลิ่นปากค่อนข้างแรง เมื่อตื่นนอนได้แปรงฟัน และน้ำลายมีการไหลเวียนมากขึ้น กลิ่นปากก็บรรเทาลง
น้ำลายเปรียบเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปาก เมื่อมีน้ำลายหลั่งออกมากทำให้ช่องปากสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย ช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น
น้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากในขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว หรือการคิดถึงอาหารอร่อยๆ ที่ชอบ ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายน้อย เช่น เวลานอน ภาวะอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ตลอดจนภาวะทางจิตใจ ความเครียด อาชีพที่ใช้เสียงมากๆ เช่น ครู ทนายความ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้
กลิ่นเหม็นจากช่องปากบางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ น้ำเมือกที่ไหลลงคอในระยะแรก ๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก สัก 2 - 3 วัน แบคทีเรียจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น
เราสามารถทดสอบกลิ่นโดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบา ๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมดู และกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้
สรุปว่ากลิ่นปากเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราวเท่านั้น
สำหรับกลิ่นปากในเด็ก ท่านผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ ที่พบบ่อย คือ ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้
นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก โรคภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก ท่านผู้ปกครองควรสอนให้เด็กแปรงฟัน และล้างปาก เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสารฟลูออไรด์ ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง สอนเด็กใช้ไหมขัดฟัน หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปากทันที
กลเม็ดพิชิตกลิ่นปาก
- อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมาก ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
- ดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
- แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และอย่างลืมแปรงด้านบนของลิ้น อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย
- ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 - 3 ครั้ง
- ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปาก
- เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
- เคี้ยวใบผักชีฝรั่งหรือกานพลูหลังมื้ออาหาร
- งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ พริกไทย และเนยแข็ง
- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก
- กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม
- เลิกสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ
ต้นคอ หลัง ไหล่ ใครปวดยกมือขึ้น
แนะวิธีคลายเมื่อยง่ายๆ ด้วยตัวเอง
อย่าตกใจ ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกนะที่ต้องเผชิญกับชะตากรรม ต้นคอ หลัง บ่าและไหล่ จุดปวดเมื่อยติดตามดังเงา โปรแกรมไมโอเธอราปีบำบัดได้อย่างไร หากคุณยังต้องทำงานหน้าคอมพ์นานๆ มีสัมภาระในกระเป๋าถือหนักเกิน 1 กิโลกรัม สวมรองเท้าส้นสูง ต้นคอ หลัง บ่าและไหล่ จะเป็นจุดปวดเมื่อยติดตามดังเงาเลยทีเดียว
วิภาพร สายศรี แพทย์อายุรเวทประจำคลินิก แนะเคล็ดลับบรรเทาความปวดเมื่อยแบบง่ายๆ 5 ประการ ดังนี้
1. เวลาทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ให้วางแขนตั้งแต่ศอกลงไปถึงข้อมือไว้บนโต๊ะ ถ้าทำงานเพลินเกิน 2 ชั่วโมง ควรหยุดพักแล้วผ่อนคลายด้วยการยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาที
2. เลือกใช้กระเป๋าถือใบเล็ก บรรจุของเท่าที่จำเป็น ถ้ามีเอกสารหรือของใช้จำเป็นที่มีน้ำหนักควรใช้กระเป๋าแบบล้อลากแทนการถือกระเป๋าที่มีน้ำหนักมาก
3. เวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน ควรมีหมอนรองบริเวณแผ่นหลัง เพื่อป้องกันการปวดหลัง
4. เมื่อมีอาการปวดเมื่อย ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ ควรใช้วิธีการบริหารกล้ามเนื้อ ด้วยการว่ายน้ำ โยคะ
5. สังเกตตัวเอง ถ้าพบว่าเมื่อยบ่อยๆ พบผู้เชี่ยวชาญดูสักที อย่าปล่อยให้มีอาการปวด
ใครปวดต้นคอ หลัง และไหล่ เอามือลงแล้วเริ่มต้นหยิบของหนักๆ ออกจากกระเป๋าถือก่อนเป็นไร แล้วค่อยทำอีก 4 ข้อตาม...
อย่าตกใจ ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกนะที่ต้องเผชิญกับชะตากรรม ต้นคอ หลัง บ่าและไหล่ จุดปวดเมื่อยติดตามดังเงา โปรแกรมไมโอเธอราปีบำบัดได้อย่างไร หากคุณยังต้องทำงานหน้าคอมพ์นานๆ มีสัมภาระในกระเป๋าถือหนักเกิน 1 กิโลกรัม สวมรองเท้าส้นสูง ต้นคอ หลัง บ่าและไหล่ จะเป็นจุดปวดเมื่อยติดตามดังเงาเลยทีเดียว
วิภาพร สายศรี แพทย์อายุรเวทประจำคลินิก แนะเคล็ดลับบรรเทาความปวดเมื่อยแบบง่ายๆ 5 ประการ ดังนี้
1. เวลาทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ให้วางแขนตั้งแต่ศอกลงไปถึงข้อมือไว้บนโต๊ะ ถ้าทำงานเพลินเกิน 2 ชั่วโมง ควรหยุดพักแล้วผ่อนคลายด้วยการยืดกล้ามเนื้อประมาณ 10 นาที
2. เลือกใช้กระเป๋าถือใบเล็ก บรรจุของเท่าที่จำเป็น ถ้ามีเอกสารหรือของใช้จำเป็นที่มีน้ำหนักควรใช้กระเป๋าแบบล้อลากแทนการถือกระเป๋าที่มีน้ำหนักมาก
3. เวลานั่งเก้าอี้สำนักงาน ควรมีหมอนรองบริเวณแผ่นหลัง เพื่อป้องกันการปวดหลัง
4. เมื่อมีอาการปวดเมื่อย ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ ควรใช้วิธีการบริหารกล้ามเนื้อ ด้วยการว่ายน้ำ โยคะ
5. สังเกตตัวเอง ถ้าพบว่าเมื่อยบ่อยๆ พบผู้เชี่ยวชาญดูสักที อย่าปล่อยให้มีอาการปวด
ใครปวดต้นคอ หลัง และไหล่ เอามือลงแล้วเริ่มต้นหยิบของหนักๆ ออกจากกระเป๋าถือก่อนเป็นไร แล้วค่อยทำอีก 4 ข้อตาม...
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กิน”วิตามินซี”เสริมดีหรือไม่
ตอนเด็ก ๆ หลายคนชอบกินวิตามินซีชนิดเม็ด เพราะคุณพ่อคุณแม่หาซื้อมาประเคน นัยว่าป้องกันโรคลักปิดลักเปิด พอโตขึ้นหลายคนก็ยังกินอยู่ เพราะสะดวก หรือบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้
ดังนั้นเพื่อ ให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
นพ.กฤษดา กล่าวว่า วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสารสัง เคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ดจะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย
ถามว่าวิตามินซี ชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ที่มีวิตามินซีหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิด มะเร็งมากขึ้นในหนูทดลองและทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้
โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น หากแต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทน
สำหรับความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด นพ.กฤษดา บอกว่า หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหวก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่ใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดีต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้นสูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซีก็คือ กินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง
อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่าความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยมหรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย
นอกจากนี้อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิดที่มีวิตามินซีมาก คือ ปลาทะเลดิบ มีกรด แอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้นแม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี
กลุ่มคนที่ควรรับประทานวิตามินซี คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโลหิตจางและผู้รับประทานมังสวิรัติ เพราะบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีไปเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผลเลยทีเดียว ส่วนโลหิตจางบางชนิดกับคนกินมังสวิรัตินั้นมักขาดธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์จึง ต้องอาศัยวิตามินซีช่วยจับธาตุเหล็กให้มากขึ้นแทน รวมถึงผู้ที่เริ่มสูงวัยหรือผิวพรรณเริ่มเสื่อมไป วิตามินซีจะช่วยกวาดสนิมแก่ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกของผิวให้คงรูปไม่เหี่ยวย่นเร็วเกินวัย วิตามินซียังช่วยเสริมภูมิให้กับผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง ไอเรื้อรังหรือเป็นหวัดบ่อย นอกจากนี้ยังแก้เครียดด้วย เพราะเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียดและการอักเสบชื่อ ว่า คอติซอล
กินวิตามินซีมากไปมีผลเสียหรือไม่? นพ.กฤษดา กล่าวว่า มีแน่นอน การกินนับสิบ ๆ เม็ดหรือบ้างก็ใช้ฉีดเข้าเส้นกันโดยหวังว่าจะรักษามะเร็งและโรคร้ายอื่นได้ มีงานวิจัยที่แสดงว่าวิตามินซีปริมาณมากอาจทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ได้ เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลอง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแข็งในมนุษย์ ทำให้ขาดธาตุทองแดงและน้ำย่อยสำคัญในร่างกาย
ส่วนอาการเตือนในช่วง แรกที่กินมากไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่สังเกตได้ อาทิ คลื่นไส้ ถ้ากินมากถึงแก่อาเจียน แสบร้อนกระเพาะอาหาร จุกใต้ลิ้นปี่ ระคายทางเดินอาหาร ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีเข้ม
อย่างไรก็ตามไม่ต้อง ตระหนกอกสั่นกับ วิตามินซีเป็นพิษ มาก เพราะว่ามันละลายน้ำได้ ถ้าได้เยอะเกินไปร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร จะแย่หน่อยก็ตรงเสียดายว่ามันจะกลายเป็นฉี่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ข้อมูลจาก เดลินิวส์
ดังนั้นเพื่อ ให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
นพ.กฤษดา กล่าวว่า วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสารสัง เคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ดจะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย
ถามว่าวิตามินซี ชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ที่มีวิตามินซีหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิด มะเร็งมากขึ้นในหนูทดลองและทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้
โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น หากแต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทน
สำหรับความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด นพ.กฤษดา บอกว่า หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหวก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่ใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดีต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้นสูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซีก็คือ กินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง
อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่าความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยมหรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย
นอกจากนี้อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิดที่มีวิตามินซีมาก คือ ปลาทะเลดิบ มีกรด แอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้นแม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี
กลุ่มคนที่ควรรับประทานวิตามินซี คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโลหิตจางและผู้รับประทานมังสวิรัติ เพราะบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีไปเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผลเลยทีเดียว ส่วนโลหิตจางบางชนิดกับคนกินมังสวิรัตินั้นมักขาดธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์จึง ต้องอาศัยวิตามินซีช่วยจับธาตุเหล็กให้มากขึ้นแทน รวมถึงผู้ที่เริ่มสูงวัยหรือผิวพรรณเริ่มเสื่อมไป วิตามินซีจะช่วยกวาดสนิมแก่ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกของผิวให้คงรูปไม่เหี่ยวย่นเร็วเกินวัย วิตามินซียังช่วยเสริมภูมิให้กับผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง ไอเรื้อรังหรือเป็นหวัดบ่อย นอกจากนี้ยังแก้เครียดด้วย เพราะเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียดและการอักเสบชื่อ ว่า คอติซอล
กินวิตามินซีมากไปมีผลเสียหรือไม่? นพ.กฤษดา กล่าวว่า มีแน่นอน การกินนับสิบ ๆ เม็ดหรือบ้างก็ใช้ฉีดเข้าเส้นกันโดยหวังว่าจะรักษามะเร็งและโรคร้ายอื่นได้ มีงานวิจัยที่แสดงว่าวิตามินซีปริมาณมากอาจทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ได้ เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลอง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแข็งในมนุษย์ ทำให้ขาดธาตุทองแดงและน้ำย่อยสำคัญในร่างกาย
ส่วนอาการเตือนในช่วง แรกที่กินมากไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่สังเกตได้ อาทิ คลื่นไส้ ถ้ากินมากถึงแก่อาเจียน แสบร้อนกระเพาะอาหาร จุกใต้ลิ้นปี่ ระคายทางเดินอาหาร ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีเข้ม
อย่างไรก็ตามไม่ต้อง ตระหนกอกสั่นกับ วิตามินซีเป็นพิษ มาก เพราะว่ามันละลายน้ำได้ ถ้าได้เยอะเกินไปร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร จะแย่หน่อยก็ตรงเสียดายว่ามันจะกลายเป็นฉี่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ข้อมูลจาก เดลินิวส์
เคล็ด(ไม่)ลับคงความหนุ่มสาว
สร้างนิสัยใส่ใจตัวเองเพื่อสุขภาพดี
1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆ ต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว
สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1 - 2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุด คือ ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
2. กินหลากแหล่ง เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต
3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า
4. ลดคาเฟอีน ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ
ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า
6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย
7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30 - 45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย
8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง
นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน
9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้ บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง
10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย
11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า
12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป
1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆ ต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว
สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1 - 2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุด คือ ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
2. กินหลากแหล่ง เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต
3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า
4. ลดคาเฟอีน ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ
ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า
6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย
7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30 - 45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย
8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง
นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน
9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้ บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง
10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย
11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า
12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
หลักปฏิบัติเพื่ออายุที่ยืนยาว..
ปรับวิถีชีวิต สร้างสมดุลกาย-ใจ
ในยุคเศรษกิจตกต่ำ คนจำนวนมากต้องทำงานหนักเพื่อหารายได้ที่จะนำมาใช้ในการดำรงชีวิตให้อยู่รอด จนละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง ละเลยต่อการออกกำลังกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา
บางคนดูแลสุขภาพโดยพึ่งอาหารเสริมที่มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ ทำให้ต้องเสียเงินทองซื้อมาในราคาแพงเพื่อหวังให้ตนเองสุขภาพดี วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก การที่จะทำตนให้มีสุขภาพที่ดีนั้นต้องหาวิธีที่จะปรับสภาวะสมดุลของทั้งร่างกายและจิตใจให้เหมาะสม เมื่อสุขภาพร่างกายดีชีวิตก็จะยืนยาว วิถีการปฏิบัติตนเพื่อจะให้มีชีวิตยืนยาวนั้นมีหลักปฏิบัติ 2 ทาง คือ การปฏิบัติทางกายและปฏิบัติทางใจ
การปฏิบัติทางกาย
การปฏิบัติทางกายประกอบด้วยการกิน การออกกำลังกายและการพักผ่อน การกินอาหารที่ดี และงดอาหารที่ไม่ดี อาหารที่ดีได้แก่อาหารสะอาด มีประโยชน์ต่อร่างกายและเหมาะสมกับวัย วัยเด็กต้องกินอาหารมากเพราะเด็กๆ คึกคักว่องไว วิ่ง - เดินมาก เปลืองพลังงานและยังต้องสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อเพื่อเติบโต เด็กจึงต้องกินมากๆ และกินอาหารที่มีประโยชน์
ส่วนผู้ใหญ่นั้นการเติบโตสิ้นสุดแล้ว การกระโดดโลดเต้นก็มีน้อย ความต้องการอาหารจึงลดลง นอกจากนั้นเมื่ออายุเข้าวัยกลางคน อาหารประเภทมันมากและหวานจัด กลายเป็นสิ่งไม่ค่อยเหมาะสม จึงควรกินให้น้อยลง เพื่อป้องกันสาเหตุของโรคแทรกซ้อนบางประการ
การออกกำลังกายที่ดีจะต้องไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือนานเกินไป ถ้าต้องการความแข็งแรงของหัวใจปอด ควรออกกำลังกายแค่วันละ 20 - 30 นาที โดยออกกำลังกายแบบ interval training คือ การออกกำลังกายแบบพักเป็นช่วงๆ โดยเริ่มต้นจากการอบอุ่นร่างกายก่อนประมาณ 5 นาที แล้วออกกำลังเต็มที่หรืออย่างหนัก 2 นาที แล้วพัก 1 - 2 นาที
การออกกำลังกายอย่างหนักคือใช้กำลัง 80 - 90% ของความสามารถของเราที่ทำได้เต็มที่ ทำสลับกันไปแบบนี้เป็นเวลาทั้งหมด 20 - 30 นาที การออกกำลังกายแบบช่วงนี้จะช่วยละลายไขมันในตัวเราและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ช่วยทำให้หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น
การพักผ่อน ได้แก่ การนอน เรื่องนี้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการกินอาหารเท่าใดนัก เนื่องด้วยเป็นโอกาสที่ร่างกายจะฟื้นสภาพจากความเหน็ดเหนื่อย และซ่อมแซมส่วนบุบสลายหรือสึกหรอให้กลับคืนเป็นปกติ
จากที่กล่าวไปพบว่าทั้ง 3 ปัจจัย คือ การกิน การออกกำลังกายและการพักผ่อน เป็นการฝึกฝนและอนุรักษ์เพื่อสร้างองค์ประกอบที่จำเป็นของร่างกายให้อยู่อย่างสมดุล หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปนานๆ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดเสื่อมโทรมในที่สุด
การปฏิบัติทางใจ
การปฏิบัติทางใจหรือทางจิตได้แก่การรักษาให้จิตสงบ เรื่องนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด เนื่องจากต้องฝืนธรรมชาติของจิต จิตมนุษย์และสัตว์คอยแต่จะโลดแล่นไปมา จับโน่นทีนี่ทีอยู่ตลอดเวลา อาการเช่นนี้ทำให้จิตไม่อยู่สุข ไม่ได้พักผ่อน ต้องอ่อนกำลังและไม่สามารถจะจดจ่ออยู่กับเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้เป็นเวลานาน
จิตที่เป็นอย่างนี้ย่อมมีประสิทธิภาพต่ำ และทำให้กายตกต่ำไปด้วย ทั้งนี้เพราะจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เมื่อนายโลเลสั่งการอย่างโน้นทีอย่างนี้ทีบ่าวก็ไม่ได้พัก ผลย่อมเสื่อมสรรถภาพไปด้วย การทำให้จิตสงบ เช่น วิธีทำสมาธิตามแนวพระพุทธศาสนา นอกจากทำให้จิตสงบได้ดียังช่วยให้กายสดชื่นและแข็งแรง
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติตนเพื่อให้มีอายุยาวไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีพของเราใหม่ พยายามหักห้ามจิตใจเราไม่ให้ตามใจปากนัก ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้การพยายามทำตัวเองให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่โกรธใครง่ายๆ ก็ถือว่าเป็นเคล็ดลับของผู้สูงอายุในปัจจุบันด้วย
ในยุคเศรษกิจตกต่ำ คนจำนวนมากต้องทำงานหนักเพื่อหารายได้ที่จะนำมาใช้ในการดำรงชีวิตให้อยู่รอด จนละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง ละเลยต่อการออกกำลังกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา
บางคนดูแลสุขภาพโดยพึ่งอาหารเสริมที่มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ ทำให้ต้องเสียเงินทองซื้อมาในราคาแพงเพื่อหวังให้ตนเองสุขภาพดี วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก การที่จะทำตนให้มีสุขภาพที่ดีนั้นต้องหาวิธีที่จะปรับสภาวะสมดุลของทั้งร่างกายและจิตใจให้เหมาะสม เมื่อสุขภาพร่างกายดีชีวิตก็จะยืนยาว วิถีการปฏิบัติตนเพื่อจะให้มีชีวิตยืนยาวนั้นมีหลักปฏิบัติ 2 ทาง คือ การปฏิบัติทางกายและปฏิบัติทางใจ
การปฏิบัติทางกาย
การปฏิบัติทางกายประกอบด้วยการกิน การออกกำลังกายและการพักผ่อน การกินอาหารที่ดี และงดอาหารที่ไม่ดี อาหารที่ดีได้แก่อาหารสะอาด มีประโยชน์ต่อร่างกายและเหมาะสมกับวัย วัยเด็กต้องกินอาหารมากเพราะเด็กๆ คึกคักว่องไว วิ่ง - เดินมาก เปลืองพลังงานและยังต้องสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อเพื่อเติบโต เด็กจึงต้องกินมากๆ และกินอาหารที่มีประโยชน์
ส่วนผู้ใหญ่นั้นการเติบโตสิ้นสุดแล้ว การกระโดดโลดเต้นก็มีน้อย ความต้องการอาหารจึงลดลง นอกจากนั้นเมื่ออายุเข้าวัยกลางคน อาหารประเภทมันมากและหวานจัด กลายเป็นสิ่งไม่ค่อยเหมาะสม จึงควรกินให้น้อยลง เพื่อป้องกันสาเหตุของโรคแทรกซ้อนบางประการ
การออกกำลังกายที่ดีจะต้องไม่ออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือนานเกินไป ถ้าต้องการความแข็งแรงของหัวใจปอด ควรออกกำลังกายแค่วันละ 20 - 30 นาที โดยออกกำลังกายแบบ interval training คือ การออกกำลังกายแบบพักเป็นช่วงๆ โดยเริ่มต้นจากการอบอุ่นร่างกายก่อนประมาณ 5 นาที แล้วออกกำลังเต็มที่หรืออย่างหนัก 2 นาที แล้วพัก 1 - 2 นาที
การออกกำลังกายอย่างหนักคือใช้กำลัง 80 - 90% ของความสามารถของเราที่ทำได้เต็มที่ ทำสลับกันไปแบบนี้เป็นเวลาทั้งหมด 20 - 30 นาที การออกกำลังกายแบบช่วงนี้จะช่วยละลายไขมันในตัวเราและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ช่วยทำให้หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น
การพักผ่อน ได้แก่ การนอน เรื่องนี้มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการกินอาหารเท่าใดนัก เนื่องด้วยเป็นโอกาสที่ร่างกายจะฟื้นสภาพจากความเหน็ดเหนื่อย และซ่อมแซมส่วนบุบสลายหรือสึกหรอให้กลับคืนเป็นปกติ
จากที่กล่าวไปพบว่าทั้ง 3 ปัจจัย คือ การกิน การออกกำลังกายและการพักผ่อน เป็นการฝึกฝนและอนุรักษ์เพื่อสร้างองค์ประกอบที่จำเป็นของร่างกายให้อยู่อย่างสมดุล หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปนานๆ ก็จะทำให้ร่างกายเกิดเสื่อมโทรมในที่สุด
การปฏิบัติทางใจ
การปฏิบัติทางใจหรือทางจิตได้แก่การรักษาให้จิตสงบ เรื่องนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด เนื่องจากต้องฝืนธรรมชาติของจิต จิตมนุษย์และสัตว์คอยแต่จะโลดแล่นไปมา จับโน่นทีนี่ทีอยู่ตลอดเวลา อาการเช่นนี้ทำให้จิตไม่อยู่สุข ไม่ได้พักผ่อน ต้องอ่อนกำลังและไม่สามารถจะจดจ่ออยู่กับเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้เป็นเวลานาน
จิตที่เป็นอย่างนี้ย่อมมีประสิทธิภาพต่ำ และทำให้กายตกต่ำไปด้วย ทั้งนี้เพราะจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เมื่อนายโลเลสั่งการอย่างโน้นทีอย่างนี้ทีบ่าวก็ไม่ได้พัก ผลย่อมเสื่อมสรรถภาพไปด้วย การทำให้จิตสงบ เช่น วิธีทำสมาธิตามแนวพระพุทธศาสนา นอกจากทำให้จิตสงบได้ดียังช่วยให้กายสดชื่นและแข็งแรง
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติตนเพื่อให้มีอายุยาวไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีพของเราใหม่ พยายามหักห้ามจิตใจเราไม่ให้ตามใจปากนัก ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย และพักผ่อนอย่างเพียงพอ นอกจากนี้การพยายามทำตัวเองให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่โกรธใครง่ายๆ ก็ถือว่าเป็นเคล็ดลับของผู้สูงอายุในปัจจุบันด้วย
ลดความ “อ้วน” โดยไม่ต้องพึ่งยา
แนะคุมอาหาร-ออกกำลัง-ทำใจให้ร่าเริง
ความอ้วนมี 2 แบบ คืออ้วนเพราะพันธุกรรม และอ้วนจากการบริโภคอาหารเกินความต้องการร่างกาย ปัจจุบันมีคนทุกข์ทรมานเพราะการลดน้ำหนักไม่น้อย บางคนหันพึ่งยาซึ่งเป็นอันตรายยิ่ง ขณะเดียวกันก็มีคนอ้วนอีกมากที่ลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องพึ่งยา รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกูล แห่งคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เคล็ดปฏิบัติในการลดความอ้วน ดังนี้
1. ควบคุมอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอดและไขมันสูง ที่สำคัญควรจำกัดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ เคล็ดลับง่ายๆ ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ก่อนรับประทานอาหาร น้ำจะทำให้อิ่มเร็วและรับประทานได้ลดลง และควรงดอาหารรสจัด เพราะจะทำให้รับประทานข้าวหรือแป้งมากขึ้น
2. อย่าเผลอตามใจปาก หมั่นสอนใจตัวเองว่า ต้องชนะใจตนเองให้ได้ในครั้งนี้และครั้งต่อๆไป แต่ถ้าแพ้ครั้งแรก โอกาสแพ้ใจตัวเองตลอดไปจะมีสูง
3. มีวินัยในการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไป ปัจจุบันมีวิธีออกกำลังกายที่เพลิดเพลินได้พร้อมกับการฟังเพลงโปรดหรือดูทีวี จะช่วยให้การออกกำลังกายไม่เป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย
4. พยายามหางานอดิเรกหรือกิจกรรมต่างๆ ทำในวันหยุด เพื่อให้ตน เองยุ่งตลอดเวลาจนไม่มีใจคิดถึงการออกไปหาอาหารอร่อยรับประทาน
5. ควรมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7 - 8 ชั่วโมง จะช่วยให้แจ่มใส ไม่หงุดหงิด พร้อมที่จะต่อสู้กับภารกิจในวันใหม่ นอกจากนี้อาจผ่อนคลายด้วยการเสริมสวย เช่น เข้าร้านจัดแต่งทรงผมใหม่ เข้ารับบริการนวดหน้า ทำสปา เพื่อให้อารมณ์ผ่อนคลาย ผิวพรรณผ่องใส
6. ทำตัวให้สดใสร่าเริง โดยการแต่งชุดสวยที่ตนเองชื่นชอบ เป็นการให้กำลังใจตนเองและท้าทายเส้นชัยของการลดความอ้วน อย่าพยายามเลือกใส่เสื้อผ้าที่หลวมเพื่อปกปิดพุงหรือส่วนเกินเพราะจะเปิดโอกาสให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
7. เมื่อไรก็ตามที่เผลอแพ้ใจตนเอง ให้ลองคิดถึงผู้ที่เป็นเหยื่อของยาลดความอ้วนทั้งหลาย บางรายถึงเสียชีวิต บางรายเสียเงินมากมายเมื่อเริ่มลดได้เพราะกินยาลดความอ้วน เมื่อหยุดยาก็มักเกิด โยโย่เอฟเฟ็กต์ คือ อ้วนมากกว่าเก่า นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสะสมสารพิษเสี่ยงต่อสารพัดโรค
1. ควบคุมอาหาร โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภททอดและไขมันสูง ที่สำคัญควรจำกัดปริมาณอาหารแต่ละมื้อ เคล็ดลับง่ายๆ ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ก่อนรับประทานอาหาร น้ำจะทำให้อิ่มเร็วและรับประทานได้ลดลง และควรงดอาหารรสจัด เพราะจะทำให้รับประทานข้าวหรือแป้งมากขึ้น
2. อย่าเผลอตามใจปาก หมั่นสอนใจตัวเองว่า ต้องชนะใจตนเองให้ได้ในครั้งนี้และครั้งต่อๆไป แต่ถ้าแพ้ครั้งแรก โอกาสแพ้ใจตัวเองตลอดไปจะมีสูง
3. มีวินัยในการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไป ปัจจุบันมีวิธีออกกำลังกายที่เพลิดเพลินได้พร้อมกับการฟังเพลงโปรดหรือดูทีวี จะช่วยให้การออกกำลังกายไม่เป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย
4. พยายามหางานอดิเรกหรือกิจกรรมต่างๆ ทำในวันหยุด เพื่อให้ตน เองยุ่งตลอดเวลาจนไม่มีใจคิดถึงการออกไปหาอาหารอร่อยรับประทาน
5. ควรมีเวลานอนหลับพักผ่อนเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 7 - 8 ชั่วโมง จะช่วยให้แจ่มใส ไม่หงุดหงิด พร้อมที่จะต่อสู้กับภารกิจในวันใหม่ นอกจากนี้อาจผ่อนคลายด้วยการเสริมสวย เช่น เข้าร้านจัดแต่งทรงผมใหม่ เข้ารับบริการนวดหน้า ทำสปา เพื่อให้อารมณ์ผ่อนคลาย ผิวพรรณผ่องใส
6. ทำตัวให้สดใสร่าเริง โดยการแต่งชุดสวยที่ตนเองชื่นชอบ เป็นการให้กำลังใจตนเองและท้าทายเส้นชัยของการลดความอ้วน อย่าพยายามเลือกใส่เสื้อผ้าที่หลวมเพื่อปกปิดพุงหรือส่วนเกินเพราะจะเปิดโอกาสให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น
7. เมื่อไรก็ตามที่เผลอแพ้ใจตนเอง ให้ลองคิดถึงผู้ที่เป็นเหยื่อของยาลดความอ้วนทั้งหลาย บางรายถึงเสียชีวิต บางรายเสียเงินมากมายเมื่อเริ่มลดได้เพราะกินยาลดความอ้วน เมื่อหยุดยาก็มักเกิด โยโย่เอฟเฟ็กต์ คือ อ้วนมากกว่าเก่า นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสะสมสารพิษเสี่ยงต่อสารพัดโรค
อย่าลืม การเอาชนะใจตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ป้องกัน 'ผิวแพ้เสื้อผ้า' ช่วงหน้าฝน
แนะเลี่ยง “รัดรูป” ลดการเสียดสี
ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน แฟชั่น “ยีน” ก็ไม่เคย ตกยุคหรือล้าสมัยสักที ยังคงเป็นแฟชั่นยอดฮิตตลอดกาล เพราะทำให้ผู้ที่สวมใส่เกิดความโดดเด่นคล่องตัว ซึ่งปัจจุบันคุณสุภาพสตรีนิยมใส่แบบรัดรูปเพื่อเน้นให้เห็นสัดส่วนมากขึ้นดูแล้วเซ็กซี่ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ว่าอาจมีภัยแฝงไว้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหน้าฝนจะทำให้ผิวหนังเราเกิดการแพ้เสื้อผ้าและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ให้ความรู้ว่า ในช่วงฤดูฝนนี้เราจะพบโรคผิวแพ้เสื้อผ้าบ่อยขึ้น เนื่องจากเมื่อเสื้อผ้าเปียกชื้น เชื้อราและเชื้อแบคทีเรียจะเติบโตได้ดีในที่อับชื้น ยิ่งเราสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปด้วยยิ่งจะทำให้เกิดการเสียดสี ความร้อน ความชื้นและเหงื่อออกมาก กระตุ้นให้เกิดการแพ้เสื้อผ้ามากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะแฟชั่นสมัยนี้นิยมสวมใส่กางเกงยีนรัดรูปเพื่อเน้นรูปร่าง ซึ่งความจริงแล้วกางเกงยีนถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใส่ทำงานกลางแดด หรือทำงานลุยๆ เพราะมีความหนา แข็งแรง ทนทาน เมื่อเรานำมาใส่เป็นแฟชั่น หากยีนเปียกน้ำจะแห้งช้ากว่าผ้าปกติทั่วไปทำให้เกิดความอับชื้นและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
อาการทั่วไปมักพบเป็นผื่นคันตามจุดที่เกิดการอับ เช่น ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตและผูกเนกไทแน่นจะเป็นผื่นคันตามลำคอ ผู้หญิงที่สวมเสื้อแขนรัดจะพบผื่นตามด้านหน้า หรือด้านหลังของรักแร้หรือสวมกางเกงรัดเป็นผื่นตามขาหนีบ นอกจากการติดเชื้อที่ผิวหนังแล้วยังส่งผลให้เกิดกลิ่นอับ กลิ่นตัว หรือบางครั้งอาจมีกลิ่นที่อวัยวะเพศด้วยเพราะเหงื่อระเหยได้ยาก ซึ่งบางคนมองข้ามไม่สนใจ
สำหรับผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศบ้านเรา คือ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายบริสุทธิ์จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ แต่มักจะยับยู่ยี่และหดง่ายจึงไม่เป็นที่นิยม ส่วนผ้าไหมนั้นไม่ค่อยก่อให้เกิดการแพ้ แต่ประเภทของเนื้อผ้าที่ต้องระวัง คือ ผ้าขนสัตว์และผ้าไนลอน เพราะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและเกิดลมพิษ สำหรับผู้ที่ใส่เสื้อผ้าไนลอนมักเกิดผดผื่นคัน เพราะเนื้อผ้าจะกันไม่ให้เหงื่อระเหยออกมา
โดยวิธีการป้องกันการแพ้เสื้อผ้า คือ การซักล้างเสื้อผ้าอย่างสะอาดและระวังไม่ให้มีผงซักฟอกตกค้างอยู่ หลังจากนั้นให้นำเสื้อผ้ามาผึ่งแดดจนแห้งสนิท ที่สำคัญควรลดน้ำหนักตัวลงด้วยเพราะคนอ้วนเสื้อผ้ามักจะเสียดสีกับผิวหนังมาก ส่วนกางเกงยีนแฟชั่นรัดรูปนั้นสวมใส่ได้หากใส่เป็นครั้งคราวไม่ใส่ทุกวันหรือใส่นอน
คุณหมอประวิตร แนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้ามีความจำเป็นหรือกลัวตกเทรนด์ตกยุค ล้าสมัย ก็สามารถใส่เสื้อผ้าไนลอน หรือผ้ายีนออกงาน ได้ แต่หากกลับมาบ้านแล้วควรถอดออกทันที ไม่ใส่ซ้ำกันหลายๆ ครั้ง และเวลานอนควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายหากเป็นไปได้ไม่จำเป็นต้องใส่ยกทรงหรือกางเกงในเวลานอน เพื่อปล่อยให้จุดอับชื้นต่างๆ ได้มีอากาศหายใจบ้าง
ถึงแม้จุดอับชื้นจะซ่อนเร้นอยู่ภายในร่มผ้าแต่หากเกิดอาการคันขึ้นมาในที่สาธารณะจะทำอย่างไร...? ถ้าทนไม่ไหวเอามือล้วงเข้าไปเกา หากมีใครเห็นจะขายหน้าแค่ไหน...? ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กันด้วยนะคะ เพียงแค่นี้ก็สามารถอินเทรนด์ตามแฟชั่นได้อย่างเฉิดฉายไม่อายใครแล้ว
ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน แฟชั่น “ยีน” ก็ไม่เคย ตกยุคหรือล้าสมัยสักที ยังคงเป็นแฟชั่นยอดฮิตตลอดกาล เพราะทำให้ผู้ที่สวมใส่เกิดความโดดเด่นคล่องตัว ซึ่งปัจจุบันคุณสุภาพสตรีนิยมใส่แบบรัดรูปเพื่อเน้นให้เห็นสัดส่วนมากขึ้นดูแล้วเซ็กซี่ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ว่าอาจมีภัยแฝงไว้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหน้าฝนจะทำให้ผิวหนังเราเกิดการแพ้เสื้อผ้าและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ให้ความรู้ว่า ในช่วงฤดูฝนนี้เราจะพบโรคผิวแพ้เสื้อผ้าบ่อยขึ้น เนื่องจากเมื่อเสื้อผ้าเปียกชื้น เชื้อราและเชื้อแบคทีเรียจะเติบโตได้ดีในที่อับชื้น ยิ่งเราสวมใส่เสื้อผ้ารัดรูปด้วยยิ่งจะทำให้เกิดการเสียดสี ความร้อน ความชื้นและเหงื่อออกมาก กระตุ้นให้เกิดการแพ้เสื้อผ้ามากขึ้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะแฟชั่นสมัยนี้นิยมสวมใส่กางเกงยีนรัดรูปเพื่อเน้นรูปร่าง ซึ่งความจริงแล้วกางเกงยีนถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใส่ทำงานกลางแดด หรือทำงานลุยๆ เพราะมีความหนา แข็งแรง ทนทาน เมื่อเรานำมาใส่เป็นแฟชั่น หากยีนเปียกน้ำจะแห้งช้ากว่าผ้าปกติทั่วไปทำให้เกิดความอับชื้นและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
อาการทั่วไปมักพบเป็นผื่นคันตามจุดที่เกิดการอับ เช่น ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตและผูกเนกไทแน่นจะเป็นผื่นคันตามลำคอ ผู้หญิงที่สวมเสื้อแขนรัดจะพบผื่นตามด้านหน้า หรือด้านหลังของรักแร้หรือสวมกางเกงรัดเป็นผื่นตามขาหนีบ นอกจากการติดเชื้อที่ผิวหนังแล้วยังส่งผลให้เกิดกลิ่นอับ กลิ่นตัว หรือบางครั้งอาจมีกลิ่นที่อวัยวะเพศด้วยเพราะเหงื่อระเหยได้ยาก ซึ่งบางคนมองข้ามไม่สนใจ
สำหรับผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศบ้านเรา คือ เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายบริสุทธิ์จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ แต่มักจะยับยู่ยี่และหดง่ายจึงไม่เป็นที่นิยม ส่วนผ้าไหมนั้นไม่ค่อยก่อให้เกิดการแพ้ แต่ประเภทของเนื้อผ้าที่ต้องระวัง คือ ผ้าขนสัตว์และผ้าไนลอน เพราะทำให้ผิวหนังระคายเคืองและเกิดลมพิษ สำหรับผู้ที่ใส่เสื้อผ้าไนลอนมักเกิดผดผื่นคัน เพราะเนื้อผ้าจะกันไม่ให้เหงื่อระเหยออกมา
โดยวิธีการป้องกันการแพ้เสื้อผ้า คือ การซักล้างเสื้อผ้าอย่างสะอาดและระวังไม่ให้มีผงซักฟอกตกค้างอยู่ หลังจากนั้นให้นำเสื้อผ้ามาผึ่งแดดจนแห้งสนิท ที่สำคัญควรลดน้ำหนักตัวลงด้วยเพราะคนอ้วนเสื้อผ้ามักจะเสียดสีกับผิวหนังมาก ส่วนกางเกงยีนแฟชั่นรัดรูปนั้นสวมใส่ได้หากใส่เป็นครั้งคราวไม่ใส่ทุกวันหรือใส่นอน
คุณหมอประวิตร แนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้ามีความจำเป็นหรือกลัวตกเทรนด์ตกยุค ล้าสมัย ก็สามารถใส่เสื้อผ้าไนลอน หรือผ้ายีนออกงาน ได้ แต่หากกลับมาบ้านแล้วควรถอดออกทันที ไม่ใส่ซ้ำกันหลายๆ ครั้ง และเวลานอนควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายหากเป็นไปได้ไม่จำเป็นต้องใส่ยกทรงหรือกางเกงในเวลานอน เพื่อปล่อยให้จุดอับชื้นต่างๆ ได้มีอากาศหายใจบ้าง
ถึงแม้จุดอับชื้นจะซ่อนเร้นอยู่ภายในร่มผ้าแต่หากเกิดอาการคันขึ้นมาในที่สาธารณะจะทำอย่างไร...? ถ้าทนไม่ไหวเอามือล้วงเข้าไปเกา หากมีใครเห็นจะขายหน้าแค่ไหน...? ดังนั้นเราจึงควรหันมาใส่ใจสุขภาพในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กันด้วยนะคะ เพียงแค่นี้ก็สามารถอินเทรนด์ตามแฟชั่นได้อย่างเฉิดฉายไม่อายใครแล้ว
“เก๋ากี้” สมุนไพรจีน อานุภาพทรงพลัง
ลดน้ำตาลในเลือด-ความดันโลหิต แถมชะลอแก่
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า สังคมที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนานาประเภท มนุษย์เราสามารถพิชิตโรคแปลกใหม่สารพัดชนิดที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต อันเป็นผลจากพัฒนาการทางการแพทย์ที่มีการวิจัยและสกัดตัวยาชนิดต่างๆ พร้อมกับเครื่องมือการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยยืดอายุให้กับผู้ป่วยจำนวนนับไม่ถ้วน
ความสมบูรณ์ทางร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาให้มนุษย์เรามีเรี่ยวแรงและสติปัญญาในการวัฒนาสังคมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป หากแต่ในช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนยับยั้งการติดเชื้อ ผู้คนจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ตัวอีกครั้ง
วันนี้เราลองมารู้จักกับสมุนไพรพื้นบ้านที่แสนจะธรรมดา แต่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองจำนวนมาก ด้วยเหตุที่สมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นตัวยาที่หาซื้อง่ายเพราะมีจำหน่ายตามร้านขายยาจีนแผนโบราณ
เริ่มจาก เก๋ากี้ สมุนไพรเม็ดแดงๆที่เมื่อบิออกดูด้านในแล้ว จะพบกับเม็ดเล็กๆสีขาวๆ อยู่ภายในเม็ดเก๋ากี้ แต่ก็สามารถรับประทานได้ทั้งเม็ดโดยไม่ส่งผลเสียใดๆต่อสุขภาพ ภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวถึงเก๋ากี้ไว้ว่า "เก๋ากี้โลกอยู่ที่เมืองจีน เก๋ากี้จีนต้องที่หนิงเซี่ย" อธิบายความให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยเป็นแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิตเก๋ากี้ที่สำคัญของจีนและของโลก
โดยเฉพาะตำบลจงหนิงที่เมื่อถึงฤดูเก็บเม็ดเก๋ากี้แล้ว จะเห็นสวนเก๋ากี้ที่เต็มไปด้วยต้นเก๋ากี้สูงท่วมหัวเรียงรายเป็นทิวแถว ขนาดของเก๋ากี้ที่จงหนิงใหญ่และมีความสดมาก เปลือกบางแต่เนื้อแน่นรสหวานชุ่มคอ มีลักษณะแบนแต่ก็ไม่กลมยาวรีแต่ไม่ลีบ ไม่จับตัวเป็นก้อน จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน
ในปีค.ศ. 1995 ทางรัฐบาลประกาศให้ตำบลจงหนิงเป็น "บ้านเกิดเก๋ากี้จีน" ดังนั้นเก๋ากี้ที่ผลิตจากพื้นที่แถบนี้ล้วนเป็นเก๋ากี้ที่ได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพ ในบริเวณอื่นๆ ของประเทศก็มีการปลูกเช่นกันอย่างมณฑลเหอเป่ย์ มณฑลซานตง มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง ฯลฯ
เก๋ากี้ที่มานำสกัดเป็นตัวยานั้นมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว เนื่องจากเป็นยาที่มีสรรพคุณนานัปการ ทำให้ชาวจีนตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ จึงมีการคิดค้นวิธีการเพาะชำขึ้นมาราว 600 ปีก่อนหน้านี้
จุดเด่นของการปลูกเก๋ากี้ คือ สามารถปลูกได้ในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งเพราะเป็นพืชที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมสูง ไม่กลัวการคุกคามจากหนอนและแมลง ทั้งยังสามารถเติบโตได้ดีในสภาพดินทรายและอากาศแห้งแล้ง นั่นเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้เก๋ากี้ที่ปลูกในตำบลจงเซี่ยนกลายเป็นเก๋ากี้ชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะสอดคล้องกับปัจจัยการเจริญเติบโตดังกล่าว
ถ้าจะสาธยายถึงสรรพคุณของสมุนไพรเล็กพริกขี้หนูตัวนี้ คงต้องใช้พื้นที่เล็กน้อยเพราะมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ดวงตามีความกระจ่างใส ลดความดันโลหิต สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดอาการตาฝ้าฟางและกระหายน้ำในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชะลอความแก่ บรรเทาความเหนื่อยล้ากำจัดพิษ บำรุงระบบสืบพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ฯลฯ
สำหรับโรคที่พบเห็นบ่อยอย่างความดันโลหิตสูง สามารถต้มเก๋ากี้ 15 กรัมกับน้ำ ดื่มแทนน้ำชา หรือผู้ที่เป็นโรคสายตาฝ้าฟางในตอนกลางคืน ความสามารถในการมองเสื่อม สามารถนำเก๋ากี้ 6 กรัม ไปต้มกับดอกเก๊กฮวยขาวในปริมาณเท่ากัน ดื่มแทนน้ำชา จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หรือสามารถกินเก๋ากี้สด 20 - 30 เม็ดจะช่วยบรรเทาอาการสายตาฝ้าฟางและชะลอความแก่ ทั้งนี้จะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาระยะหนึ่ง จึงเกิดประสิทธิภาพ
ด้วยสรรพคุณในด้านการเป็นตัวยาบำรุงร่างกาย จึงมีการนำเก๋ากี้ไปแช่น้ำหรือแช่เหล้า แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน จากนั้นก็นำมาดื่มเพื่อบำรุงอวัยวะภายใน แต่ใช่ว่าเก๋ากี้จะเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย เพราะตัวสมุนไพรมีฤทธิ์ร้อน ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นไข้ตัวร้อน ปรากฏมีอาการอักเสบ หรือท้องเดินจึงไม่เหมาะที่จะรับประทาน เพราะอาจทวีความรุนแรงให้กับโรคได้ เนื่องจากเป็นตัวยาที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของเส้นประสาทจึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการทางเพศสูงเช่นกัน ในทางกลับกัน เก๋ากี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารเสริมนานาชนิดไม่เหมาะที่จะรับประทานในปริมาณมากเกินความจำเป็น ในฐานะที่เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายชนิดหนึ่ง จึงมีประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยผู้ใหญ่สามารถรับประทานวันละ 20 กรัม แต่หากต้องการนำไปใช้เป็นตัวยารักษาโรค สามารถเพิ่มปริมาณเป็น 30 กรัมต่อวัน โชคดีที่ผลการวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า เก๋ากี้เป็นสมุนไพรที่ปลอดสารพิษ สามารถใช้ประกอบอาหารหรือสกัดเป็นตัวยาและใช้เป็นเวลานานโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ
หลายคนอาจสงสัยว่า สรรพคุณที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนจะเกินจริง แต่ชาวจีนโดยส่วนใหญ่ต่างรู้ถึงคุณประโยชน์ของเก๋ากี้และนำไปสกัดร่วมกับตัวยาชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรค เก๋ากี้จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่คู่สังคมจีนมานานหลายพันปี
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า สังคมที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนานาประเภท มนุษย์เราสามารถพิชิตโรคแปลกใหม่สารพัดชนิดที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต อันเป็นผลจากพัฒนาการทางการแพทย์ที่มีการวิจัยและสกัดตัวยาชนิดต่างๆ พร้อมกับเครื่องมือการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยยืดอายุให้กับผู้ป่วยจำนวนนับไม่ถ้วน
ความสมบูรณ์ทางร่างกายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำพาให้มนุษย์เรามีเรี่ยวแรงและสติปัญญาในการวัฒนาสังคมให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป หากแต่ในช่วงที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดอย่างรวดเร็ว และยังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนยับยั้งการติดเชื้อ ผู้คนจึงหันกลับมาให้ความสำคัญกับสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ตัวอีกครั้ง
วันนี้เราลองมารู้จักกับสมุนไพรพื้นบ้านที่แสนจะธรรมดา แต่มีสรรพคุณในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองจำนวนมาก ด้วยเหตุที่สมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นตัวยาที่หาซื้อง่ายเพราะมีจำหน่ายตามร้านขายยาจีนแผนโบราณ
เริ่มจาก เก๋ากี้ สมุนไพรเม็ดแดงๆที่เมื่อบิออกดูด้านในแล้ว จะพบกับเม็ดเล็กๆสีขาวๆ อยู่ภายในเม็ดเก๋ากี้ แต่ก็สามารถรับประทานได้ทั้งเม็ดโดยไม่ส่งผลเสียใดๆต่อสุขภาพ ภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวถึงเก๋ากี้ไว้ว่า "เก๋ากี้โลกอยู่ที่เมืองจีน เก๋ากี้จีนต้องที่หนิงเซี่ย" อธิบายความให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยเป็นแหล่งกำเนิดและแหล่งผลิตเก๋ากี้ที่สำคัญของจีนและของโลก
โดยเฉพาะตำบลจงหนิงที่เมื่อถึงฤดูเก็บเม็ดเก๋ากี้แล้ว จะเห็นสวนเก๋ากี้ที่เต็มไปด้วยต้นเก๋ากี้สูงท่วมหัวเรียงรายเป็นทิวแถว ขนาดของเก๋ากี้ที่จงหนิงใหญ่และมีความสดมาก เปลือกบางแต่เนื้อแน่นรสหวานชุ่มคอ มีลักษณะแบนแต่ก็ไม่กลมยาวรีแต่ไม่ลีบ ไม่จับตัวเป็นก้อน จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน
ในปีค.ศ. 1995 ทางรัฐบาลประกาศให้ตำบลจงหนิงเป็น "บ้านเกิดเก๋ากี้จีน" ดังนั้นเก๋ากี้ที่ผลิตจากพื้นที่แถบนี้ล้วนเป็นเก๋ากี้ที่ได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพ ในบริเวณอื่นๆ ของประเทศก็มีการปลูกเช่นกันอย่างมณฑลเหอเป่ย์ มณฑลซานตง มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง ฯลฯ
เก๋ากี้ที่มานำสกัดเป็นตัวยานั้นมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว เนื่องจากเป็นยาที่มีสรรพคุณนานัปการ ทำให้ชาวจีนตระหนักถึงความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ จึงมีการคิดค้นวิธีการเพาะชำขึ้นมาราว 600 ปีก่อนหน้านี้
จุดเด่นของการปลูกเก๋ากี้ คือ สามารถปลูกได้ในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งเพราะเป็นพืชที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมสูง ไม่กลัวการคุกคามจากหนอนและแมลง ทั้งยังสามารถเติบโตได้ดีในสภาพดินทรายและอากาศแห้งแล้ง นั่นเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้เก๋ากี้ที่ปลูกในตำบลจงเซี่ยนกลายเป็นเก๋ากี้ชนิดที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะสอดคล้องกับปัจจัยการเจริญเติบโตดังกล่าว
ถ้าจะสาธยายถึงสรรพคุณของสมุนไพรเล็กพริกขี้หนูตัวนี้ คงต้องใช้พื้นที่เล็กน้อยเพราะมีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ดวงตามีความกระจ่างใส ลดความดันโลหิต สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดอาการตาฝ้าฟางและกระหายน้ำในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชะลอความแก่ บรรเทาความเหนื่อยล้ากำจัดพิษ บำรุงระบบสืบพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ฯลฯ
สำหรับโรคที่พบเห็นบ่อยอย่างความดันโลหิตสูง สามารถต้มเก๋ากี้ 15 กรัมกับน้ำ ดื่มแทนน้ำชา หรือผู้ที่เป็นโรคสายตาฝ้าฟางในตอนกลางคืน ความสามารถในการมองเสื่อม สามารถนำเก๋ากี้ 6 กรัม ไปต้มกับดอกเก๊กฮวยขาวในปริมาณเท่ากัน ดื่มแทนน้ำชา จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หรือสามารถกินเก๋ากี้สด 20 - 30 เม็ดจะช่วยบรรเทาอาการสายตาฝ้าฟางและชะลอความแก่ ทั้งนี้จะต้องรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาระยะหนึ่ง จึงเกิดประสิทธิภาพ
ด้วยสรรพคุณในด้านการเป็นตัวยาบำรุงร่างกาย จึงมีการนำเก๋ากี้ไปแช่น้ำหรือแช่เหล้า แล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน จากนั้นก็นำมาดื่มเพื่อบำรุงอวัยวะภายใน แต่ใช่ว่าเก๋ากี้จะเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย เพราะตัวสมุนไพรมีฤทธิ์ร้อน ดังนั้นผู้ที่ป่วยเป็นไข้ตัวร้อน ปรากฏมีอาการอักเสบ หรือท้องเดินจึงไม่เหมาะที่จะรับประทาน เพราะอาจทวีความรุนแรงให้กับโรคได้ เนื่องจากเป็นตัวยาที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวของเส้นประสาทจึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการทางเพศสูงเช่นกัน ในทางกลับกัน เก๋ากี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ
เป็นที่ทราบกันดีว่า อาหารเสริมนานาชนิดไม่เหมาะที่จะรับประทานในปริมาณมากเกินความจำเป็น ในฐานะที่เป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายชนิดหนึ่ง จึงมีประโยชน์สูงสุดต่อเมื่อรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ โดยผู้ใหญ่สามารถรับประทานวันละ 20 กรัม แต่หากต้องการนำไปใช้เป็นตัวยารักษาโรค สามารถเพิ่มปริมาณเป็น 30 กรัมต่อวัน โชคดีที่ผลการวิจัยทางการแพทย์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่า เก๋ากี้เป็นสมุนไพรที่ปลอดสารพิษ สามารถใช้ประกอบอาหารหรือสกัดเป็นตัวยาและใช้เป็นเวลานานโดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ
หลายคนอาจสงสัยว่า สรรพคุณที่กล่าวมาข้างต้นดูเหมือนจะเกินจริง แต่ชาวจีนโดยส่วนใหญ่ต่างรู้ถึงคุณประโยชน์ของเก๋ากี้และนำไปสกัดร่วมกับตัวยาชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรค เก๋ากี้จึงเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่คู่สังคมจีนมานานหลายพันปี
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อย่ามองข้าม “หน้าต่าง” ของหัวใจ
แนะเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ดี กำจัด “ถุงใต้ตา”
ผิวหนังบริเวณใต้ตานั้นบอบบางและหลวมอยู่แล้ว เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเริ่มเสื่อมสลายเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เปลือกตาล่างมีรอยพับเกิดขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังจะถูกดันออกมาเพราะกล้ามเนื้อไม่กระชับ ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตา นอกจากนั้นระบบการไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ไม่ดี ก็จะทำให้น้ำมาคั่งบริเวณนี้ ทำให้ผิวรอบดวงตาบวม วันนี้มารู้จักสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตากันค่ะ
ถุงใต้ตา มี 2 ลักษณะ คือ ถุงใต้ตาแท้ และถุงใต้ตาเทียม
ถุงใต้ตาแท้
มีสาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ เกิดจากระบบต่อมไร้ท่อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ ปกติแล้วคนเราจะมีก้อนไขมันสามก้อนอยู่ใต้ตา ก้อนไขมันเหล่านี้จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นไปตามอายุ แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาแท้ อาจจะสังเกตเห็นถุงใต้ตาได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ
วิธีการแก้ไข ทำได้โดยการใช้คลื่นวิทยุ หรือ Radio Frequency (RF) การผ่าตัด และการใช้ยาละลายไขมัน การใช้คลื่น RF จะช่วยยกกระชับผิวใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลงเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้ปัญหาถุงใต้ตาหายขาดไปได้
ส่วนการแก้ไขโดยการผ่าตัด โดยมากจะช่วยเรื่องถุงใต้ตาได้ดี แต่ช่วยเรื่องรอยคล้ำได้น้อย นอกจากจะตัดรอยดำออกไปด้วย การผ่าตัดอาจช่วยให้ผิวเรียบเนียนสดใส แต่ก็คงความงามอยู่ได้ไม่นาน หากขาดการดูแลที่ดี ถุงใต้ตาก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ เพราะการผ่าตัดคือการตัดเอาถุงไขมันใต้ตาทิ้งไป แต่ปัญหาการสะสมของน้ำและไขมันก็ยังเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา เมื่อสภาพผิวเริ่มอ่อนแอลงประกอบกับอายุที่มากขึ้น กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวก็เสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้การไหลเวียนขับถ่ายของเสียรอบดวงตาบกพร่อง ก่อให้เกิดการสะสมของถุงใต้ตาและริ้วรอยหมองคล้ำอยู่เรื่อยไป
ส่วนการใช้ยาละลายไขมันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก มีรายงานทางการแพทย์ด้วยว่า เคยมีผู้ใช้วิธีนี้จนกระทั่งตาบอด เนื่องจากเกิดการอักเสบของไขมันมากเกินไปจนส่งผลต่อดวงตา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
ถุงใต้ตาเทียม
มีสาเหตุมาจากระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองในร่างกายไม่ดี ทำให้ของเหลวไปคั่งอยู่ที่ใต้ตา มักเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น นอนดึก ชอบขยี้ตา ร้องไห้บ่อยๆ ใช้สายตามากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แสงแดด ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ตลอดจนการแพ้สารต่างๆ เช่น มาสคารา
โดยเฉพาะผู้ที่นอนดึกหรืออดนอนเป็นประจำ จะทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ รอยคล้ำชัดเจนขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ เส้นเลือดจะเปราะแตกง่าย เกิดสารตกค้างใต้ตา ทำให้ตาคล้ำได้
อย่างไรก็ตาม ถุงใต้ตาในลักษณะนี้แก้ไขได้ง่ายกว่า เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายดังที่กล่าวมา แล้วลองนวดที่ดวงตาเบาๆ หรือหมั่นประคบเย็นที่ดวงตาเป็นประจำ อาการดังกล่าวก็จะค่อยๆ ดีขึ้นได้
วิธีป้องกันการเกิดถุงใต้ตา
- อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะช่วยให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า และปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ
- หากรู้สึกอ่อนล้า ให้นวดเบาๆ และบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5 - 6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1 - 2 วินาที
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หนุนศีรษะให้สูงเวลานอน และพยายามนอนหงาย เพื่อให้ของเหลวกระจายได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการนอนดึกหรืออดนอน การคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ และการร้องไห้
- อย่าขยี้ตา ถูหรือกดแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ตาบวมมากขึ้น
- ลองใช้แตงกวาแช่เย็นฝานบางๆ หรือถุงชาแช่เย็นวางประคบ ประมาณ 10 นาที
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองดีขึ้น
ผิวหนังบริเวณใต้ตานั้นบอบบางและหลวมอยู่แล้ว เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาจะเริ่มเสื่อมสลายเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เปลือกตาล่างมีรอยพับเกิดขึ้น ไขมันใต้ผิวหนังจะถูกดันออกมาเพราะกล้ามเนื้อไม่กระชับ ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตา นอกจากนั้นระบบการไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ไม่ดี ก็จะทำให้น้ำมาคั่งบริเวณนี้ ทำให้ผิวรอบดวงตาบวม วันนี้มารู้จักสาเหตุและวิธีการแก้ไขปัญหาถุงใต้ตากันค่ะ
ถุงใต้ตา มี 2 ลักษณะ คือ ถุงใต้ตาแท้ และถุงใต้ตาเทียม
ถุงใต้ตาแท้
มีสาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ เกิดจากระบบต่อมไร้ท่อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ ปกติแล้วคนเราจะมีก้อนไขมันสามก้อนอยู่ใต้ตา ก้อนไขมันเหล่านี้จะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นไปตามอายุ แต่สำหรับบางคนที่มีปัญหาถุงใต้ตาแท้ อาจจะสังเกตเห็นถุงใต้ตาได้ตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ
วิธีการแก้ไข ทำได้โดยการใช้คลื่นวิทยุ หรือ Radio Frequency (RF) การผ่าตัด และการใช้ยาละลายไขมัน การใช้คลื่น RF จะช่วยยกกระชับผิวใต้ตา ทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลงเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้ปัญหาถุงใต้ตาหายขาดไปได้
ส่วนการแก้ไขโดยการผ่าตัด โดยมากจะช่วยเรื่องถุงใต้ตาได้ดี แต่ช่วยเรื่องรอยคล้ำได้น้อย นอกจากจะตัดรอยดำออกไปด้วย การผ่าตัดอาจช่วยให้ผิวเรียบเนียนสดใส แต่ก็คงความงามอยู่ได้ไม่นาน หากขาดการดูแลที่ดี ถุงใต้ตาก็สามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ เพราะการผ่าตัดคือการตัดเอาถุงไขมันใต้ตาทิ้งไป แต่ปัญหาการสะสมของน้ำและไขมันก็ยังเกิดขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา เมื่อสภาพผิวเริ่มอ่อนแอลงประกอบกับอายุที่มากขึ้น กระบวนการซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวก็เสื่อมประสิทธิภาพลง ทำให้การไหลเวียนขับถ่ายของเสียรอบดวงตาบกพร่อง ก่อให้เกิดการสะสมของถุงใต้ตาและริ้วรอยหมองคล้ำอยู่เรื่อยไป
ส่วนการใช้ยาละลายไขมันนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก มีรายงานทางการแพทย์ด้วยว่า เคยมีผู้ใช้วิธีนี้จนกระทั่งตาบอด เนื่องจากเกิดการอักเสบของไขมันมากเกินไปจนส่งผลต่อดวงตา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
ถุงใต้ตาเทียม
มีสาเหตุมาจากระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองในร่างกายไม่ดี ทำให้ของเหลวไปคั่งอยู่ที่ใต้ตา มักเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ เช่น นอนดึก ชอบขยี้ตา ร้องไห้บ่อยๆ ใช้สายตามากเกินไป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แสงแดด ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ตลอดจนการแพ้สารต่างๆ เช่น มาสคารา
โดยเฉพาะผู้ที่นอนดึกหรืออดนอนเป็นประจำ จะทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ รอยคล้ำชัดเจนขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ เส้นเลือดจะเปราะแตกง่าย เกิดสารตกค้างใต้ตา ทำให้ตาคล้ำได้
อย่างไรก็ตาม ถุงใต้ตาในลักษณะนี้แก้ไขได้ง่ายกว่า เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลายดังที่กล่าวมา แล้วลองนวดที่ดวงตาเบาๆ หรือหมั่นประคบเย็นที่ดวงตาเป็นประจำ อาการดังกล่าวก็จะค่อยๆ ดีขึ้นได้
วิธีป้องกันการเกิดถุงใต้ตา
- อย่าให้กล้ามเนื้อตาล้าเกินไป เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ให้พักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ จะช่วยให้ดวงตาไม่เกิดอาการล้า และปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ
- หากรู้สึกอ่อนล้า ให้นวดเบาๆ และบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด ด้วยการกลอกตาไปรอบๆ เป็นวงกลม สัก 5 - 6 รอบ ใช้นิ้วนางทั้ง 2 นิ้วแตะที่หัวตาแต่ละข้าง คลึงเบาๆ แบบกดจุดนาน 1 - 2 วินาที
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หนุนศีรษะให้สูงเวลานอน และพยายามนอนหงาย เพื่อให้ของเหลวกระจายได้ง่าย
- หลีกเลี่ยงการนอนดึกหรืออดนอน การคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ และการร้องไห้
- อย่าขยี้ตา ถูหรือกดแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ตาบวมมากขึ้น
- ลองใช้แตงกวาแช่เย็นฝานบางๆ หรือถุงชาแช่เย็นวางประคบ ประมาณ 10 นาที
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองดีขึ้น
ประโยชน์ของ “การอบอุ่นร่างกาย”
การอบอุ่นร่างกาย
1. การอบอุ่นร่างกายเป็นการเพิ่มการเต้นของหัวใจเพื่ออณุหภูมิของร่างกาย และเพิ่มการหายใจอย่าช้าๆ การอบอุ่นที่ได้ผลดีร่างกายจะต้องมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น มีเหงื่อออก
2. การอบอุ่นร่างกายที่ดีจะต้องมีการเคลื่อนไหวของข้อโดยเฉพาะข้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย เช่น ข้อเท้า สะโพก หลัง ไหล่
3. ยึดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย
การยืดกล้ามเนื้อ
- การยึดกล้ามเนื้อควรจะทำหลังจากการอบอุ่นร่างกายแล้ว
- การยึดกล้ามเนื้อควรยึดเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้เท่านั้น และไม่ควรทำนานเกินไป เพราะจะทำให้หัวใจกลับเต้นช้าลง ทำให้ไม่พร้อมที่จะทำงานหนักในช่วงลงมือออกกำลังกายจริง
- ควรจะเลือกท่ายืนเป็นหลักเพราะจะทำได้เร็ว
การยึดกล้ามเนื้อหลังจากการอบอุ่นร่างกาย ก่อนจะออกกำลังกายจริง
เพราะเวลาออกกำลังกายจริง การเคลื่อนไหวของร่างกายตามลักษณ์กีฬาและวิธีการออกกำลังกายที่ท่านจะเลื่อนต่อไป จะต้องอาศัยการยึด หรือการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ถ้าหากไม่ได้ยึดเอาไว้ก่อน กล้ามเนื้อหรือเอ็นอาจได้รับบาดเจ็บ ในบางรายอาจฉีกขาดได้
การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การผ่อนคลายกล้ามเนื้อหรือคำว่า "COOL DOWN" ในภาษาอังกฤษ มีความสำคัญต่อคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่นเดียวกับการอบอุ่นร่างกายส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยคำนึกถึงเมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วก็เลิกทันที
ความหมายที่แท้จริงก็คือ การค่อยๆ ลด หรือผ่อนการออกกำลังกายให้เบาลงทีละน้อยจนกระทั่งหายเหนื่อย ทั้งนี้เพื่อให้กล้ามเนื้อและหัวใจที่ทำงานหนักขณะออกกำลังกาย ได้ค่อยๆ ทำงานน้อย ลงเรื่อยๆ จนกระทั่วกลับสู่ระดับปกติ เช่น ถ้าท่านออกกำลังกายโดยการวิ่ง การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ก็หมายถึงการลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนเป็นเดินเร็วและเดินช้าจนกระทั่งหยุด หลังจากนั้นอาจทำการบริหารยึดกล้ามเนื้อต่ออีก 3 - 5 นาที เช่นเดียวกับ การอบอุ่นร่างกาย
ถ้าหากท่านทำให้ครบวงรอบของการออกกำลังกาย ได้แก่ เริ่มต้นอบอุ่นร่างกาย 5 - 10 นาที ออกกำลังกาย 15 - 30 นาที และผ่อนคลายกล้ามเนื้ออีก 5 นาที หากสามารถทำได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ท่านจะมีสุขภาพกายที่แข็งแรง อันจะเป็นหัวใจของความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวง
คุณต้องขยับแค่ไหน...?
เด็ก
การออกกำลังกายในวัยเด็กช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก เพื่อลดภาวะกระดูกพรุนเมื่อสูงอายุได้ สามารถเสริมสร้างพัฒนาการทางกายและสมอง และเสริมสร้างทักษะทางสังคมเมื่อเด็กได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ โดยควรเลือกการออกกำลังกายปานกลางถึงหนัก ประมาณ 10 - 15 นาที
ผู้ใหญ่
การออกกำลังกายในผู้สูงอายุมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายคงสมรรถภาพความแข็งแรงสามารถช่วยตัวเองได้ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องตัวมากขึ้น ช่วยป้องกันโรคต่างๆ
รายงานทางการแพทย์จากมลรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า หลังอายุ 30 ปีไปแล้ว คนเราจะมีพลังลดลงร้อยละ 1 หรือเมื่อ 60 ปี พลังจะลดลงร้อยละ 30 ขณะที่อายุ 30 ปี หากยิ่งขาดการเคลื่อนไหวในวัยหนุ่มสาวจะยิ่งทำให้พลังช่วงบั้นปลายมีสะสมน้อยลง
สูตรการออกกำลังกาย...ผู้เฒ่ายังเก๋า!
- ต้องไม่ใช้แรงมากและหนักเกินไป เน้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ ไม่เป็นอันตรายต่อกระดูกและข้อ
- หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหารูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- หมั่นสังเกตอาการที่เกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย หากพบความผิดปกติต้องหยุดทันที
- ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายต่อเนื่องทำเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละ 10 นาที หลายๆ ครั้ง
- ควรเพิ่มระยะเวลาแทนการเพิ่มความแรงของการออกกำลังกาย
สตรีมีครรภ์
ออกกำลังกายเบาๆ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 นาที ซึ่งการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ของหญิงมีครรภ์สามารถบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ ช่วยให้สบายตัว นอนหลับ ไม่หงุดหงิด และเมื่อเข้าสู่ช่วงการคลอดจะเจ็บปวดน้อยและคลอดง่ายขึ้น
1. การอบอุ่นร่างกายเป็นการเพิ่มการเต้นของหัวใจเพื่ออณุหภูมิของร่างกาย และเพิ่มการหายใจอย่าช้าๆ การอบอุ่นที่ได้ผลดีร่างกายจะต้องมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น มีเหงื่อออก
2. การอบอุ่นร่างกายที่ดีจะต้องมีการเคลื่อนไหวของข้อโดยเฉพาะข้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย เช่น ข้อเท้า สะโพก หลัง ไหล่
3. ยึดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย
การยืดกล้ามเนื้อ
- การยึดกล้ามเนื้อควรจะทำหลังจากการอบอุ่นร่างกายแล้ว
- การยึดกล้ามเนื้อควรยึดเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้เท่านั้น และไม่ควรทำนานเกินไป เพราะจะทำให้หัวใจกลับเต้นช้าลง ทำให้ไม่พร้อมที่จะทำงานหนักในช่วงลงมือออกกำลังกายจริง
- ควรจะเลือกท่ายืนเป็นหลักเพราะจะทำได้เร็ว
การยึดกล้ามเนื้อหลังจากการอบอุ่นร่างกาย ก่อนจะออกกำลังกายจริง
เพราะเวลาออกกำลังกายจริง การเคลื่อนไหวของร่างกายตามลักษณ์กีฬาและวิธีการออกกำลังกายที่ท่านจะเลื่อนต่อไป จะต้องอาศัยการยึด หรือการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ ถ้าหากไม่ได้ยึดเอาไว้ก่อน กล้ามเนื้อหรือเอ็นอาจได้รับบาดเจ็บ ในบางรายอาจฉีกขาดได้
การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การผ่อนคลายกล้ามเนื้อหรือคำว่า "COOL DOWN" ในภาษาอังกฤษ มีความสำคัญต่อคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่นเดียวกับการอบอุ่นร่างกายส่วนใหญ่คนทั่วไปมักจะไม่ค่อยคำนึกถึงเมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วก็เลิกทันที
ความหมายที่แท้จริงก็คือ การค่อยๆ ลด หรือผ่อนการออกกำลังกายให้เบาลงทีละน้อยจนกระทั่งหายเหนื่อย ทั้งนี้เพื่อให้กล้ามเนื้อและหัวใจที่ทำงานหนักขณะออกกำลังกาย ได้ค่อยๆ ทำงานน้อย ลงเรื่อยๆ จนกระทั่วกลับสู่ระดับปกติ เช่น ถ้าท่านออกกำลังกายโดยการวิ่ง การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ก็หมายถึงการลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนเป็นเดินเร็วและเดินช้าจนกระทั่งหยุด หลังจากนั้นอาจทำการบริหารยึดกล้ามเนื้อต่ออีก 3 - 5 นาที เช่นเดียวกับ การอบอุ่นร่างกาย
ถ้าหากท่านทำให้ครบวงรอบของการออกกำลังกาย ได้แก่ เริ่มต้นอบอุ่นร่างกาย 5 - 10 นาที ออกกำลังกาย 15 - 30 นาที และผ่อนคลายกล้ามเนื้ออีก 5 นาที หากสามารถทำได้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ท่านจะมีสุขภาพกายที่แข็งแรง อันจะเป็นหัวใจของความสำเร็จทั้งหลายทั้งปวง
คุณต้องขยับแค่ไหน...?
เด็ก
การออกกำลังกายในวัยเด็กช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก เพื่อลดภาวะกระดูกพรุนเมื่อสูงอายุได้ สามารถเสริมสร้างพัฒนาการทางกายและสมอง และเสริมสร้างทักษะทางสังคมเมื่อเด็กได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ โดยควรเลือกการออกกำลังกายปานกลางถึงหนัก ประมาณ 10 - 15 นาที
ผู้ใหญ่
การออกกำลังกายในผู้สูงอายุมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ช่วยให้ร่างกายคงสมรรถภาพความแข็งแรงสามารถช่วยตัวเองได้ ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องตัวมากขึ้น ช่วยป้องกันโรคต่างๆ
รายงานทางการแพทย์จากมลรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ระบุว่า หลังอายุ 30 ปีไปแล้ว คนเราจะมีพลังลดลงร้อยละ 1 หรือเมื่อ 60 ปี พลังจะลดลงร้อยละ 30 ขณะที่อายุ 30 ปี หากยิ่งขาดการเคลื่อนไหวในวัยหนุ่มสาวจะยิ่งทำให้พลังช่วงบั้นปลายมีสะสมน้อยลง
สูตรการออกกำลังกาย...ผู้เฒ่ายังเก๋า!
- ต้องไม่ใช้แรงมากและหนักเกินไป เน้นกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่ำ ไม่เป็นอันตรายต่อกระดูกและข้อ
- หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหารูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- หมั่นสังเกตอาการที่เกิดขึ้นขณะออกกำลังกาย หากพบความผิดปกติต้องหยุดทันที
- ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายต่อเนื่องทำเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละ 10 นาที หลายๆ ครั้ง
- ควรเพิ่มระยะเวลาแทนการเพิ่มความแรงของการออกกำลังกาย
สตรีมีครรภ์
ออกกำลังกายเบาๆ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 นาที ซึ่งการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ของหญิงมีครรภ์สามารถบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ ช่วยให้สบายตัว นอนหลับ ไม่หงุดหงิด และเมื่อเข้าสู่ช่วงการคลอดจะเจ็บปวดน้อยและคลอดง่ายขึ้น
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552
10 อาหารที่อันตรายที่สุดในโลก
1.แฮมเบอเกอร์
แฮมเบอร์เกอร์ ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ
2.ฮอทด็อก
ฮอทด็อก ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่า สัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
3.เฟรนช์ฟราย
เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
4.โอริโอ้ คุกกี้
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่หี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5.พิซซ่า
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
- เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น
- แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้
6.น้ำอัดลม
สาร ตัวสำคัญที่มีอยู่ในน้ำอัดลมก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ
8.ไอศครีม
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น
9.โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว
การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ
แฮมเบอร์เกอร์ ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ
2.ฮอทด็อก
ฮอทด็อก ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่า สัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
3.เฟรนช์ฟราย
เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
4.โอริโอ้ คุกกี้
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่หี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น
5.พิซซ่า
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
- เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น
- แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้
6.น้ำอัดลม
สาร ตัวสำคัญที่มีอยู่ในน้ำอัดลมก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ
8.ไอศครีม
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น
9.โดนัท
โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยว
การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
8 กฎเหล็กทาน ‘น้ำผึ้ง’ ตามศาสตร์จีน
1. ผู้ป่วยเบาหวานห้ามกิน เนื่องจากน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส และฟรักโทสที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวแร็ว การหลั่งอินซูลินของตับอ่อนไม่พอ
2. ห้ามกินปริมาณมาก โดยเฉลี่ยวันละ 1 - 2 ช้อน ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษอาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
3. คนที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
5. การผสมน้ำอุ่นประมาณไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่าในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อยป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย อีกเหตุผลหนึ่ง คือ เอนไซม์จากน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
7. ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะ กุยช่ายมีวิตามินซีมากจะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้งเกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลงอีกเหตุผลหนึ่ง น้ำผึ้งทำให้ระบายกุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอมและกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง
2. ห้ามกินปริมาณมาก โดยเฉลี่ยวันละ 1 - 2 ช้อน ประมาณ 20 กรัม ในกรณีพิเศษอาจกินเพิ่มได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม/วัน
3. คนที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย เพราะจะทำให้ถ่ายมากขึ้น เนื่องจากน้ำผึ้งจะดูดน้ำทำให้ขับอุจจาระมากขึ้น
4. ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน หรือมีผิวหนังอักเสบเรื้อรัง เนื่องจากภาวะความชื้นตกค้าง
5. การผสมน้ำอุ่นประมาณไม่เกิน 40 องศา ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดๆ เพราะจะทำลายคุณค่าของเอนไซม์ วิตามิน และกรดอะมิโน และสารที่มีคุณค่าในฤดูร้อนสามารถใช้น้ำเย็นชงดื่ม แต่ควรจะผสมน้ำขิงเล็กน้อยป้องกันกระเพาะอาหารกระทบความเย็น
6. ไม่ควรกินร่วมกับเต้าหู้ เนื่องจากเต้าหู้มีรสหวาน เค็ม มีคุณสมบัติเย็น สรรพคุณขับร้อนกระจายเลือด เมื่อกินร่วมกันทำให้ท้องเสียง่าย อีกเหตุผลหนึ่ง คือ เอนไซม์จากน้ำผึ้งจะทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ โปรตีน สารอินทรีย์ของเต้าหู้ จะทำให้คุณค่าทางโภชนาการด้อยไป
7. ไม่ควรกินพร้อมผักกุยช่าย เพราะ กุยช่ายมีวิตามินซีมากจะทำปฏิกิริยากับโลหะทองแดง และเหล็กในน้ำผึ้งเกิดออกซิเดชัน ทำให้คุณค่าด้อยลงอีกเหตุผลหนึ่ง น้ำผึ้งทำให้ระบายกุยช่ายมีเส้นใยมาก เมื่อกินร่วมกันจะทำให้ท้องเสียง่าย
8. ไม่ควรกินร่วมกับหัวหอมและกระเทียม จะทำให้ฤทธิ์ของน้ำผึ้งด้อยลง
กลิ่นมะนาว ช่วยคลาย "เครียด"
อโรมาเทอราปี (Aromatherapy) เป็นศาสตร์ของการใช้ "กลิ่นระเหย" มาช่วยดูแลสุขภาพ ในรูปของน้ำมันระเหยที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ใช้ได้ทั้งเพื่อความงาม ในรูปของเครื่องสำอาง ใช้เพื่อสุขภาพ และใช้เพื่อพิธีกรรม โดยเฉพาะเพื่อความงาม ใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว การขับสารพิษ การระงับเชื้อ ฯลฯ
เราสามารถใช้เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ซ่อมแซมรอยแผล แต้มสิว บำรุงผม หรือการลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น โดยใช้ในรูปแบบของโลชั่น น้ำมันนวด สบู่อาบน้ำ หรือแชมพู การใช้เพื่อสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของการคลายกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด การฆ่าเชื้อ ฯลฯ
เราสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ลดอาการหรือช่วยบำรุงสุขภาพเราได้ ทั้งทางกายและทางใจ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยาเคมีสังเคราะห์มีผลข้างเคียงสูง ขณะที่น้ำมันหอมระเหยเป็นสารธรรมชาติ มีการตกค้างและผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลย ทำและใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลทีเดียว
ยิ่ง "มะนาว" นักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ศึกษาแล้วพบว่า กลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะจากเปลือก ช่วยลดความเครียดได้ เป็นการใช้กลิ่นหอมทดแทนการใช้ยา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ผ่านทางผิวหนัง ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ รวมถึงกลิ่นมะนาวยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย
เราสามารถใช้เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ซ่อมแซมรอยแผล แต้มสิว บำรุงผม หรือการลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น โดยใช้ในรูปแบบของโลชั่น น้ำมันนวด สบู่อาบน้ำ หรือแชมพู การใช้เพื่อสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของการคลายกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด การฆ่าเชื้อ ฯลฯ
เราสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ลดอาการหรือช่วยบำรุงสุขภาพเราได้ ทั้งทางกายและทางใจ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยาเคมีสังเคราะห์มีผลข้างเคียงสูง ขณะที่น้ำมันหอมระเหยเป็นสารธรรมชาติ มีการตกค้างและผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลย ทำและใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลทีเดียว
ยิ่ง "มะนาว" นักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ศึกษาแล้วพบว่า กลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะจากเปลือก ช่วยลดความเครียดได้ เป็นการใช้กลิ่นหอมทดแทนการใช้ยา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ผ่านทางผิวหนัง ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ รวมถึงกลิ่นมะนาวยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อิ่มอร่อย หลับสบาย
ผลหมากรากไม้ ที่ช่วยบำรุง (จิตใจ) ให้ข่มตาหลับสนิท
หากใกล้ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปี คนที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีคงรู้สึกหวั่น ๆ กับการตรวจไม่น้อย จนพาลคิดว่าอาจเป็นโรคนั้นโรคนี้แล้วแต่จิตนาการจะพร่ำเพ้อจนนอนหลับไม่สนิท "กินดี" ศุกร์นี้ขอพักเมนูอาหารน่าหม่ำไว้ชั่วคราว เพื่อแนะนำเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายไว้ เจาะเลือด ในวันรุ่งขึ้น ดังนี้
กล้วย ผลไม้ที่เป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายตัว อีกทั้งในกล้วยมีฤทธิ์ลดการหลั่งสารซีโรโทนินหรือฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นน้อยลง
ชาคาโมไมล์ ใช้ดื่มก่อนนอน ช่วยลดอาการกระสับกระส่ายหรือตื้นเต้นจากอาการหวาดกลัว
นมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้งหยดเดียว จะช่วยให้สมองลดการหลั่งโอเรซิน หรือสารสื่อประสาทตื่นตัว ให้ตื่นตัวน้อยลง
มันฝรั่งปริมาณน้อย ย้ำ! ปริมาณน้อย เพราะจะไม่รบกวนกระเพาะอาหารมาก แต่จะช่วยลดกรดที่จะรบกวนการหาว ซึ่งกระตุ้นการหลั่งทริปโตแฟน หรือกรดอะมิโนธรรมชาติ มีมากในอาหารโปรตีน สมองเปลี่ยนทริปโตแฟนเป็นฮอร์โมนซีโรโทนินซึ่งช่วยควบคุมการนอนหลับอีกที ทานกับนมอุ่น ๆ สักแก้ว เวิร์กสุด ๆ
ข้าวโอ๊ตและอัลมอนด์ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้นอนหลับสบาย การทานซีเรียลผสมอัลมอนด์ชามเล็ก ๆ ราด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล จะทำให้หลับสบาย
และ ขนมปังธัญพืช ทานกับน้ำชาผสมน้ำผึ้งหยดเดียว มีฤทธิ์กระตุ้นสารหลั่งอินสุลิน ช่วยให้ทริปโตแฟนเข้าสู่สมองได้ดีขึ้น
เห็นไหม หลับฝันดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่อย่าลืมนะว่า ก่อนตรวจสุขภาพห้ามทานยาทุกชนิดจ้า
ขอให้สุขภาพแข็งแรง
ข้อมูลจาก เดลินิวส์
หากใกล้ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปี คนที่สุขภาพไม่ค่อยจะดีคงรู้สึกหวั่น ๆ กับการตรวจไม่น้อย จนพาลคิดว่าอาจเป็นโรคนั้นโรคนี้แล้วแต่จิตนาการจะพร่ำเพ้อจนนอนหลับไม่สนิท "กินดี" ศุกร์นี้ขอพักเมนูอาหารน่าหม่ำไว้ชั่วคราว เพื่อแนะนำเพื่อเตรียมพร้อมร่างกายไว้ เจาะเลือด ในวันรุ่งขึ้น ดังนี้
กล้วย ผลไม้ที่เป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายตัว อีกทั้งในกล้วยมีฤทธิ์ลดการหลั่งสารซีโรโทนินหรือฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นน้อยลง
ชาคาโมไมล์ ใช้ดื่มก่อนนอน ช่วยลดอาการกระสับกระส่ายหรือตื้นเต้นจากอาการหวาดกลัว
นมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้งหยดเดียว จะช่วยให้สมองลดการหลั่งโอเรซิน หรือสารสื่อประสาทตื่นตัว ให้ตื่นตัวน้อยลง
มันฝรั่งปริมาณน้อย ย้ำ! ปริมาณน้อย เพราะจะไม่รบกวนกระเพาะอาหารมาก แต่จะช่วยลดกรดที่จะรบกวนการหาว ซึ่งกระตุ้นการหลั่งทริปโตแฟน หรือกรดอะมิโนธรรมชาติ มีมากในอาหารโปรตีน สมองเปลี่ยนทริปโตแฟนเป็นฮอร์โมนซีโรโทนินซึ่งช่วยควบคุมการนอนหลับอีกที ทานกับนมอุ่น ๆ สักแก้ว เวิร์กสุด ๆ
ข้าวโอ๊ตและอัลมอนด์ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้นอนหลับสบาย การทานซีเรียลผสมอัลมอนด์ชามเล็ก ๆ ราด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล จะทำให้หลับสบาย
และ ขนมปังธัญพืช ทานกับน้ำชาผสมน้ำผึ้งหยดเดียว มีฤทธิ์กระตุ้นสารหลั่งอินสุลิน ช่วยให้ทริปโตแฟนเข้าสู่สมองได้ดีขึ้น
เห็นไหม หลับฝันดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่อย่าลืมนะว่า ก่อนตรวจสุขภาพห้ามทานยาทุกชนิดจ้า
ขอให้สุขภาพแข็งแรง
ข้อมูลจาก เดลินิวส์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)